วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2561

[OS][JAEDO] HEART ROAD

O W E N TM.



OS [JaeDo] Heart Road 








ณ กลางป่าเขียวขจี เลยจากเขตของพระราชวังมาเพียงไม่มากนัก มันช่างสงบและร่มรื่น เหมาะแก่การที่จะพักผ่อนหย่อนใจ และคลายความเหนื่อยล้า




สายลมยามบ่ายพัดมาเอื่อยๆ ใบไม้พลิ้วไสวไปมาตามแรงลม ร่างสูงสง่านั่งลงบนพื้นหญ้าสีเขียวหลังจากที่เหนื่อยจากการเที่ยวเล่นมาทั้งวัน เพลานี้เป็นเวลาบ่ายแก่ๆแล้ว แม้อากาศจะหาได้ร้อนมากนัก แต่สถานที่ๆเหมาะแก่การนั่งพัก เห็นที่จะเป็นใต้เงาร่มไม้ใหญ่นี่...



“องค์ชาย...องค์ชายขอรับ”



“มีอะไรหรือแทอิล?”



ผู้ที่มีตำแหน่งสูงศักดิ์แห่งอาณาจักร โดยมีศักดิ์เป็นถึงองค์ชายรัชทายาทแห่งโครยอเอ่ยถามพี่เลี้ยงผู้ติดตาม ขณะที่นั่งพิงต้นไม้ใหญ่ใต้ร่มอย่างสบายใจ



“ข้าคิดว่า นี่เป็นเพลานานมากแล้วที่พระองค์ทรงออกมาจากตำหนัก และเห็นสมควรว่าพระองค์ควรรีบกลับเสียได้แล้วนะขอรับ มิเช่นนั้น องค์ราชันย์จะทรงไม่พอพระทัยได้”



องค์ราชันย์ทีว่า ก็คือพระบิดาขององค์ชายรัชทายาทนั่นเอง... หาได้ใช่ใครที่ไหน.. องค์ชายยุนโอเมื่อได้ยินพี่เลี้ยงผู้ติดตามเอ่ยก็ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย...วันทั้งวันที่ได้ออกจากพระราชวังอันแสนวุ่นวายมาเที่ยวเล่นตามป่าเขาลำเนาไพรที่แสนสงบ องค์ชายวัย 18 ชรรษา ก็มิอยากจะกลับเสียเท่าไหร่....ถึงแม้ว่ายังไงก็จะต้องกลับก็ตามทีเถอะ...



“ก่อนจะกลับข้าอยากได้อะไรติดไม้ติดมือไปเสียสักหน่อย เจ้าคงจะไม่ว่าอันใดข้านะแทอิล”



องค์ชายรัชทายาทเอ่ยต่อรอง ทำเอาพี่เลี้ยงผู้ติดตามนั้นถึงกับหนักใจที่จะต้องกลับช้ากว่าเดิม แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะขัดความประสงค์อันใดทั้งนั้น..



“องค์ชายทรงอยากได้ในสิ่งอันใดหรือขอรับ?...”



“เหล่าขุนนางต่างบอกข้าว่า ณ ที่ ป่าแห่งนี้นั้น ยังมีหมู่บ้านเล็กๆที่มีผู้คนอาศัยอยู่ ข้าเองก็ไม่เคยเห็น แล้วก็ไม่เคยมาที่นี่มาก่อน  และข้าอยากที่จะไปเดินเที่ยวเล่น เพื่อให้ได้รู้ความเป็นอยู่ของราษฎรนอกเขตเมืองเสียหน่อย เจ้าคงไม่ว่าอันใดข้า ใช่หรือไม่? แทอิล...”



องค์ชายยุนโอกล่าวก่อนจะยันกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินนำพี่เลี้ยงผู้ติดตามผู้น่าสงสารไป...แทอิลจะไปกล้าว่าอะไรได้เล่า...เขาเองก็เป็นเพียงพี่เลี้ยงผู้ติดตามที่มีหน้าที่ดูแลทุกอย่างให้องค์ชาย หากองค์ชายประสงค์สิ่งใด เขาก็ไม่ควรที่ขัดข้อง..



“จะดีหรือขอรับ”



“ดีสิ...ข้าอยากจะไปไหนมาไหนโดยที่ไม่ต้องให้ราษฎรนั้นรู้ว่าตัวข้านั้นคือองค์รัชทายาทมานานแล้วแทอิล”



“โถ่...องค์ชาย”



“ไปกันเร็วแทอิล!










ณ ชุมชนเล็กๆท่ามกลางป่าเขาอันสงบ แม้ว่าที่นี่นั้นจะดูเหมือนว่าเป็นชุมชนเล็กๆก็จริง.. แต่หากมีประชากรมากมายเสียยิ่งกว่าที่คิดเอาไว้ ไม่น่าเชื่อเสียจริงๆ ทั้งๆที่อยู่กลางป่ากลางเขาแท้ๆ..



อาจเป็นเพราะที่นี่นั้นสงบและไม่วุ่นวาย เหมือนกับภายในหมู่บ้านบริเวณเขตพระราชวัง ที่มีบ้านและผู้คนอาศัยอยู่กันอย่างแออัดและเนืองแน่น หากเปรียบเทียบกัน องค์รัชทายาทก็เห็นว่าที่นี่นั้นน่าอยู่กว่ามากเลยทีเดียว ความสงบนั้นเป็นที่ประสงค์มากกว่าสำหรับพระองค์ และมากกว่าสิ่งที่ทรงได้รับอยู่ การที่ต้องมีข้าราชบริพานตามหลังไปในทุกๆหนแห่งหาใช่ความประสงค์ที่แท้จริงไม่ แบบนี้ต่างหาก....ถ้าหากแม้เลือกได้ดังใจก็คงจะดี..



ณ เวลานี้... องค์รัชทายาท และพี่เลี้ยงผู้ติดตาม กำลังเดินเล่นอยู่ ณ ตลาดยามบ่ายแก่ที่มีชาวบ้านที่มาแลกเปลี่ยนและค้าขายสินค้าที่พวกเขามี บ้างก็มาเดินจับจ่ายใช้สอยกันทั่วๆไป บรรยากาศตรงหน้าองค์รัชทายาทหนุ่มช่างแปลกตาแปลกใจยิ่งนัก เพราะองค์ชายยุนโอนั้นอยู่แต่ที่ตำหนักในวัง ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมาเดินตลาดแบบนี้..


“องค์ช่ะ..! เอ่อ...ยุนโอ”


“มีเรื่องอันใดเล่า...แทอิลสหายข้า...”



องค์ชายรัชทายาทหนุ่มผินใบหน้ามาแย้มสรวลใส่พี่เลี้ยงผู้ติดตาม อย่างไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวใดๆ ทำราวกับว่าไม่มีเหตุสิ่งใดเกิดขึ้น ทั้งที่องค์ชายเพิ่งจะออกคำสั่งให้แทอิลนั้น ห้ามเรียกตนว่าองค์ชายเป็นอันขาด มิเช่นนั้นหากกลับกันไปถึงยังตำหนักเป็นเวลาพลบค่ำ แล้วแทอิลต้องถูกองค์ราชันย์ตำหนิขึ้นมา องค์ชายจะไม่ทรงออกหน้ารับแทน แล้วจะปล่อยให้แทอิลถูกลงโทษไปโดยไม่ใยดีอะไรใดๆทั้งสิ้น...



เห็นหรือยังว่าองค์ชายของแทอิลนั้นแสบมากแค่ไหนกัน...



บรรยากาศในตลาด ณ หมู่บ้านกลางป่าเช่นนี้ไม่ได้อะไรที่วิเศษวิโสไปมากกว่าตลาดในหมู่บ้านที่อยู่ในเขตพระราชวังเลย ทุกคนไม่ได้ใส่เสื้อผ้าหรูหรา ราคาแพงจากเนื้อผ้าไหมชั้นดี ของที่เอามาขายส่วนใหญ่ก็จะเป็นของป่า ของกินก็เป็นของกินธรรมดาที่หาได้จากในป่าทั้งสิ้น ส่วนเสื้อผ้าของเหล่าราษฎรแถวนี้นี่ยิ่งแล้วใหญ่ เนื้อผ้าคงเป็นผ้าฝ้ายธรรมดาๆหากประเมินผ่านสายตาเท่านั้น



แต่กระนั้น...ทุกคนก็ดูมีความสุขกันดีกับชีวิตธรรมดาๆและแสนจะเรียบง่าย ณ ป่าใหญ่นอกเขตพระราชวังแสนสงบ



“เอ่อ...ทรงเสด็จกลับกันได้หรือยังขอรับ...”



“อะไรกันแทอิล เจ้านี่ก็เอ่ยชวนให้ข้ากลับอยู่นั่น เจ้าอยากกลับก็กลับคนเดียวไปก่อนเลยก็ได้นะ ข้าไม่ว่าอันใดหรอก”




องค์รัชทายาทแสนจะเบื่อหน่ายพี่เลี้ยงผู้ติดตามข้างๆนี่นัก... ตั้งแต่ที่ออกมาจากตำหนักนี่ เอ่ยชวนให้กลับแล้วกี่รอบก็ไม่รู้ นี่หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรกล่ะก็...แอบหนีมาคนเดียวเสียจะยังดีกว่าอีก...




“โถ่...องค์ชาย..”



“เจ้าจงเงียบปากไปซะ ไม่เช่นนั้นข้าจะไปฟ้องท่านพ่อ ว่าเจ้าน่ะดูแลข้าไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย! มุน แทอิล!



สุรเสียงทุ้มเอ่ยสั่ง พร้อมผินพระพักต์รูปงามหนีพี่เลี้ยงเพราะไม่อยากที่จะมอง การมองแทอิลผู้ซึ่งแสนจะขี้ขลาดทำให้รู้องค์รัชทายาทหนุ่มนั้นสึกพาลอารมณ์ไม่ดีไปหมด...



จะกระทั่งเดินมาเรื่อยๆจนเกือบจะสุดท้ายของพื้นที่ที่เรียกว่าตลาด...ทั้งองค์รัชทายาท และพี่เลี้ยงผู้ติดตามต่างพากันหยุดชะงัก...








“ฝากคำขอบใจไปให้พี่ชายของเจ้าด้วยนะ ดงยอง ที่ได้อุตส่าเป็นธุระหาดอกไม้ป่างามๆกลิ่นหอมๆเหล่านี้มาให้ข้า...แล้วก็เจ้าด้วยนะ ที่เป็นธุระนำมาให้ข้าถึงที่เลย..”



นี่คือคำสนทนาธรรมดาๆระหว่างชาวบ้านคนหนึ่ง ที่การแต่งกายนั้น แตกต่างจากคนที่นี่เสียมาก..ดูๆแล้วหน้าจะมาจากที่แถวๆเขตพระราชวังเป็นแน่...กับเด็กสาวอีกคน..ที่ก็คงจะเป็นคนแถวนี้ เพียงแค่มองมุมข้างก็รู้แล้วว่าใบหน้านั้นจะงดงามถึงเพียงไร ดวงตากลมคล้ายกับกระต่ายป่า ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีระเรื่อ ไหนจะจมูกโด่งสวยที่รับเข้ากับเครื่องหน้าเป็นอย่างดี..เส้นผมสีดำขลับดุจไม้มะเกลือที่ยาวสลวยถึงกลางหลังถูกถักเป็นเปียไว้เรียบร้อยไม่ให้รุ่มร่าม ผิวกายขาวๆต่างจากชาวบ้านคนอื่นๆหลายๆคน แต่เพียงเสื้อผ้าเท่านั้นเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าสาวงามผู้นี้เป็นคนที่นี่...



“ไม่เป็นไรหรอกท่านพี่ยูซองว่าแต่เพราะเหตุอันใดท่านพี่ถึงอยากได้ดอกไม้ป่าพวกนี้ไปเยอะมากนักเล่า...”



เพียงแค่น้ำเสียงเอ่ยออกมา ก็ทำให้องค์รัชทายาทแห่งโครยอรู้ว่าได้ทรงมองผิดอย่างมหันต์ ร่างขาวบอบบางตรงหน้านั้นหาใช่อิสตรีอย่างที่ได้เข้าใจไม่ หากแต่เป็นชายเฉกเช่นเดียวกับพระองค์เสียต่างหาก



ให้ตายสิ...สวรรค์กำลังเล่นตลกสิ่งใดอยู่กันนะ...



“ก็เพราะว่าเมียข้าน่ะสิ นางแพ้ท้องอย่างหนักน่ะดงยอง นางต้องการที่จะได้กลิ่นดอกไม้พวกนี้  ในตำหนักวังหลวงหาได้มีไม่ ข้าจึงต้องระเห็จระเหินมาถึงนี่ไง”



“เป็นเช่นนั้นรึ... โถ..ลำบากแย่เลยท่านพี่ยูซอง โอ้! เวลานี้ข้าต้องกลับแล้ว เช่นไรก็ไว้เจอกันใหม่นะขอรับ... ถ้าหากเมียท่านพี่แพ้ท้องอีกล่ะก็มาหาข้าที่นี่อีกนะ ข้าจะหาดอกไม้เหล่านี้มาให้อีก”



“ขอบใจมากเลยนะ”



“ถ้าเช่นนั้นข้าขอกลับบ้านก่อน.. ”



ร่างบางว่าก่อนจะเดินถือตระกร้าเปล่าที่เมื่อครู่ได้ใส่ดอกไม้เดินออกมา...แล้วกำลังเดินมาทางองค์รัชทายาทและพี่เลี้ยงผู้ติดตาม..


แต่...



ก็เพียงแค่เป็นการเดินผ่านเฉยๆ ...ไม่ได้มีสิ่งใดมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะเด็กสาว...ไม่สิ... เด็กหนุ่มผู้นั้นก็มิได้รู้จักกันกับองค์รัชทายาท และองค์รัชทายาทก็หาได้ที่จะรู้จักเด็กหนุ่มสามัญชนผู้นั้นไม่...


“ช่างงดงามเหลือเกิน”


“ทรงหมายถึงสิ่งใดหรือขอรับองค์ชาย...?”


“ไม่ต้องยุ่ง ข้ายังมิได้อนุญาตให้เจ้าพูดอะไรออกมานะแทอิล”



แทอิลก้มหน้าสงบปากและสงบคำพูด เมื่อได้ยินคำสั่งทุกอย่างชัดเจน ว่าแต่...ในสิ่งที่องค์ชายของเขาได้เอ่ยขึ้นมาเมื่อครู่นี้ คงมิได้หมายถึงเด็กหนุ่มคนเมื่อครู่ ที่เขาได้เข้าใจผิดไปว่าเป็นเด็กสาวหรอกนะ....ใช่หรือไม่?




















ค่ำคืนที่ลมพัดเย็นสบาย บนท้องนภาก็มีดวงจันทร์ที่สวยงามลอยเด่นอยู่เต็มดวง... สายลมโชยมาทำเอาใบไม้พริ้วสไวเสียจนเกิดเสียงฟังดูเพลิดเพลิน


ณ ตำหนักหลวงขององค์รัชทายาท องค์ชายยุนโอยังไม่ได้ทรงบรรทมแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าในเวลานี้จะเป็นเวลาดึกสมควรที่จะทรงบรรทมได้แล้วก็ตามที...


นอนไม่หลับ...



ใบหน้างดงามนั่นยังคงตามรบกวนจิตใจองค์รัชทายาทหนุ่มอยู่ตลอดเวลาจนว้าวุ่น..แม้ไม่ใช่อิสตรี แต่ก็งดงามเสียจนพาลให้ดวงพระทัยเต้นแรงรัว..


หรือจักเป็นเทพธิดาจำแลงกายลงมาจากสวรรค์นะ...



“องค์ชายขอรับ องค์ชาย!



“ว่าเช่นไร! เจ้าจะเสียงดังทำไมแทอิล ข้าก็ได้ยินอยู่”



“หากได้ยิน เหตุใดเมื่อสองสามคราวก่อนที่ข้าเอ่ยเรียก ถึงได้ไม่ทรงตอบรับเล่าขอรับ”



“ช่างเถอะ...แล้วมีเหตุใดเล่า ถึงเรียกเสียเสียงดังเช่นนี้”



“ข้าเพียงจะถามว่าในเพลานี้ดึกมากแล้ว  พระองค์จะให้ข้าดับตะเกียงเลยมั้ยขอรับองค์ชาย”


“อืม...ดับเลยก็ได้..อ้อ! แทอิล ข้ามีบางสิ่งที่จะต้องบอกเจ้า”



ก่อนจะให้แทอิลดับตะเกียงที่ส่องสว่างในห้อง องค์รัชทยาทหนุ่มก็เอ่ยรั้งไว้เสียก่อน แทอิลหันกลับมารอรับฟังคำสั่งตามหน้าที่


“ในวันรุ่งขึ้นตอนเช้ามืด ข้าจะออกจากตำหนักเข้าป่าเหมือนเมื่อวานอีกครั้ง”



“ห๊า!!!! ว่ากระไรนะขอรับ?!!!!



แทอิลเอ่ยเสียงดังอีกคราด้วยความตกใจ ในการที่องค์ชายรัชทายาทกำลังบอกเขาว่าต้องการจะออกตำหนักในเช้ามืดวันรุ่งขึ้นเพื่อเข้าป่า มันหมายความว่าเช่นไรกัน



เพียงแค่วันนี้กลับตำหนักเสียมืดค่ำ ก็ถูกองค์ราชันและพระชายาตำหนิไปหลายยกแล้ว แล้วนี่จะทรงออกไปตอนเช้ามืด แทอิลคิดว่าหัวเขาคงจะหลุดจากบ่าเร็วๆนี้ ข้อหาดูแลองค์รัชทายาทที่จะต้องเป็นกษัตริย์องค์ถัดไปของโครยอได้ไม่ดี...



“หาได้ต้องกลัวอันใดไม่แทอิล ตราบใดที่ยังมีข้า จักไม่มีผู้ใดทำอะไรเจ้า แม้แต่ท่านพ่อกับท่านแม่ก็ตามที...”



องค์รัชทายาทหนุ่มกล่าวคำยืนยัน แต่ก็ยังไม่สามารถคลายความกังวนของพี่เลี้ยงผู้ติดตามได้เลยแม้แต่น้อย...



จะไม่มีใครมาลงโทษอะไรใดๆแทอิลตามที่สุรเสียงขององค์ชายยุนโอได้กล่าวเอาไว้ก็จริง



แต่ถึงกระนั้น องค์ราชันย์และพระชายาเล่า...หาได้ทำอะไรที่เป็นการลงโทษ แต่กระนั้น การถูกบ่นและถูกตำหนิ ก็เปรียบดังการลงโทษดีๆนี่เอง...



“ดับตะเกียงได้แล้ว และออกไปเลยด้วย ข้าต้องการที่จะพักผ่อน”











ในช่วงเวลาเช้าตอนสี่ยามกว่าๆเห็นจะได้ องค์ชายรัชทายาทแห่งโครยอทรงแต่งกายมิดชิดกลมกลืนกับทหารที่เฝ้ารอบตำหนัก ขึ้นทรงบนอาชาตัวโปรด และโพกหน้าปิดตาอย่างดี พี่เลี้ยงผู้ติดตามแทอิลก็เช่นกัน



“ทำเช่นนี้ จะไม่โดนจับได้หรือขอรับ?”



แทอิลเอ่ยถามเสียงเบาๆกับองค์ชายของตน ก่อนจะมองไปรอบๆบริเวณตำหนัก ที่มีทหารมากมายเฝ้ารักษากาลอยู่หาได้พักผ่อนกันไม่


“เงียบเถอะแทอิล ข้าจะโดนจับได้ก็เพราะเจ้านั่นแหละ ”



กว่าจะเคลื่อนม้าฝ่าพลทหารแห่งตำหนักหลวงไปได้ช่างยากเย็นยิ่งนัก ทุกย่างก้าวของอาชาและทุกการกระทำก็ล้วนเป็นที่จับตามองไปหมด ในเวลาเช่นนี้อาจจะเหมือนไม่ไม่ได้มีสิ่งใดที่น่าห่วงก็จริง... แต่ตอนกลับมาในเวลาที่น่าจะพลบค่ำของวันนั้น มันก็อีกเรื่องหนึ่ง...










ในยามเช้าตรู่กลางป่าใหญ่นอกเขตพระราชวัง อากาศนั้นก็เย็นชื่น หยาดน้ำค้างบนกิ่งไม้ใบหญ้าเต็มไปหมด เมื่อน้ำค้างได้ต้องกับแสงแดดของดวงอาทิตย์ที่ให้แสงสว่าง ที่กำลังเคลื่อนขึ้นไปยังบนฟากฟ้า ช่างงดงามเสียยิ่งนัก



“องค์ชายขอรับ ข้าคิดว่าทางที่เรามานั้นไม่เหมือนเมื่อวาน..”



แทอิลเอ่ยออกความคิดเห็นเมื่อเห็นว่าเส้นทางที่นั่งม้ามามันไม่เหมือนดังเช่นเมื่อวานนี้เลย...



“ข้าก็นึกว่าตัวเองคิดไปเองผู้เดียวเสียอีก..หากแต่ข้าได้ยินเสียงลำธาร เช่นนั้นเราพักก่อนมั้ย ข้าเริ่มเหนื่อยแล้ว เดี๋ยวค่อยหาทางออกกันก็ได้”




“เห็นด้วยขอรับ งั้นข้าขอไปทำธุระส่วนตัวเสียก่อน”




ทั้งองค์รัชทายาทและพี่เลี้ยงผู้ติดตามนั้นต่างพากันผูกอาชาไว้ใต้ร่มไม้สงบ ปล่อยให้เร็มหญ้าตามสบายให้อิ่มท้อง แทอิลไปอีกทางเพื่อที่จะไปหาพื้นที่สำหรับทำธุระส่วนตัว ส่วนองค์ชายรัชทายาทก็เดินไปอีกทาง เพื่อตามเสียงของลำธารที่ได้ยิน








“อ่ะ..”



เมื่อก้าวเดินไปตามทาง เท้าก็ดันไปเตะเข้ากับกองของบางอย่าง องค์รัชทายาทก้มพักตร์ลงมองดูก็พบว่าสิ่งที่ได้เตะเข้าอย่างจังเมื่อครู่นั้นคือเสื้อผ้า..



ใครเล่าอยู่แถวนี้...แล้วจะช่วยพระองค์และแทอิลที่กำลังหลงทางได้หรือเปล่า? องค์ชายก้าวมาเรื่อยๆ ผ่านโขดหินก่อนใหญ่มากมาย... จนเห็นทัศนียภาพของสายธารที่ไหลริน...



ช่างเป็นภาพที่สวยงามเหลือเกิน...



!!!!!!!




พลันเนตรคมก็เห็นเข้ากับร่างของใครบางคนที่กำลังอยู่ในพื้นน้ำลำธารตรงหน้า แผ่นหลังขาวบอบบางเยี่ยงสตรี เส้นผมที่ถูกปล่อยยาวจนถึงกลางหลัง และเอวคอดสะโอดสะองที่โผล่พ้นน้ำมา แล้วไหนจะผิวกายขาวสว่างนั่นอีก แล้วสิ่งสำคัญคือ...




ไร้ซึ่งอาภรณ์บนร่างกาย...



เจ้าของเรือนกายสวยงามนั้นกำลังหันหลังเข้าหาฝั่ง ทำให้ไม่สามารถรับรู้ถึงการมาของผู้ที่มาใหม่....



องค์ชายยุนโอยังคงจดจ้องกับอิริยาบถของร่างใต้น้ำ แต่แล้ว...เพียงหน้าผินมาด้านข้างนิดเดียวตามอิริยาบถที่กำลังกระทำ องค์รัชทายาทหนุ่มก็ต้องตกตะลึกทันที..นั่นมัน..หนุ่มน้อยคนงามที่พระองค์พบเมื่อวานที่ตลาดนี่...



เป็นเพราะโชคชะตาฟ้าลิขิตหรือไม่...ที่ได้พบเจอเป็นคราที่สองแล้ว...




มือเรียววักน้ำชำระร่างกายของตนอย่างสบายใจ โดยซึ่งหารู้ไม่ว่ามีใครบางคนกำลังจดจ้องร่างกายสวยงามอันเปลือยเปล่าของตัวเอง...







.............................................................




แทอิลที่เพิ่งไปทำธุระเสร็จเมื่อกลับมายังที่ก็ไม่พบกับองค์ชายรัชทายาทเสียแล้ว เขาเดินตามหาไปทั่ว ก่อนจะนึกได้ว่าควรจะเดินไปตามทิศทางของเสียงลำธารที่อยู่บริเวณใกล้ๆนี้...


  จวบจนกระทั่งเดินตามเสียงของน้ำมาเรื่อยๆก็ได้พบเข้ากับแผ่นหลังกว้างอันคุ้นเคยขององค์ชาย ที่ยืนเหมือนกำลังเหม่อมองสิ่งใดอยู่ก็ไม่รู้เช่นกัน...




“องค์ชายขอรับ!



“ชู่ว!!!



องค์ชายยุนโอครั้นเมื่อได้ยินเสียงเอ่ยเรียกของพี่เลี้ยงผู้ติดตาม ก็รีบหันมาส่งเสียงห้ามไม่ให้ผู้ที่เพิ่งจะมาถึงนั้นส่งเสียงดัง เพราะในเวลานี้ สถานที่แห่งนี้นั้นไม่ได้มีเพียงพระองค์และแทอิลตามลำพังแค่สองคน.. หากแต่ยังมีเจ้าของร่างบอบบาง ยังคงชำระร่างกายอยู่ในผืนน้ำตรงหน้านั่น...



แล้วที่สำคัญองค์ชายรัชทยาทไม่อยากให้แทอิลมาเห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของคนที่กำลังใช้น้ำลูบไล้ชำระร่างกายอยู่เบื้องหน้าเด็ดขาด... 


    

“มีเหตุอันใดเกิดขั้นหรือขอรับองค์ชาย...”



“ข้าบอกให้เจ้าเงียบอย่างไรเล่าแทอิล...”


องค์ชายรัชทายาทหันไปเอ็ด ดูเถอะดูมุน แทอิล...บอกให้เงียบแล้วยังจะถามนู่นถามนี่ให้มากความอยู่นั่น ก็เข้าใจหรอกว่าเป็นห่วง เพียงแต่ว่าองค์ชายทรงคิดว่ามุน แทอิลก็เห็นอยู่นี่ ว่ามันไม่ได้มีสิ่งใดที่จะก่ออันตรายเกิดขึ้น...



“ขอรับๆองค์ชาย ว่าแต่นั่นกองเสื้อผ้าของผู้ใดหรือ?”



พี่เลี้ยงผู้ติดตามเอ่ยถาม เมื่อเห็นกองเสื้อผ้าของใครบางคนกองๆอยู่บนโขดหินเตี้ยๆ องค์ชายยุนโอทำเพียงยิ้มบางๆก่อนจะหันกลับมาเอ่ยในคำสั่ง



“หาใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องรู้ไม่แทอิล กลับไปเฝ้าม้าของข้า ณ ตรงร่มไม้ใหญ่นั่นได้แล้ว”



“แล้วองค์ชายเล่าขอรับ ผู้ที่เป็นเจ้าของเสื้อผ้าพวกนี้จักไม่ทำอันใดองค์ชายใช่หรือไม่ ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนจะไม่ดีกว่าหรือขอรับ”



“เดี๋ยวข้าตามไป..ไม่ต้องเป็นห่วง”




แทอิลจำใจพยักหน้ารับคำสั่งขององค์ชายรัชทยาทแต่โดยดี ก่อนจะปลีกตัวเดินไปอีกทางเพื่อไปเฝ้าอาชาสองตัวทั้งของตนและ อาชาขององค์ชายรัชทายาท แม้จะเคลือบแคลงใจและเป็นกังวนเรื่องผู้ใดเป็นเจ้าของเสื้อผ้าพวกนั้นนิดหน่อย แต่หากองค์ชายตรัสว่าไม่ได้มีสิ่งใด นั้นก็คงจะหมายความว่าไม่ได้มีสิ่งใดจริงๆนั่นแหละ...










กายบางใต้ผืนธาราแห่งนี้ เมื่อได้ชำระร่างกายเสียเรียบร้อยจนพอใจแล้วก็หยิบผ้าคลุมกายสีเข้มผืนใหญ่ที่วางไว้ใกล้ๆกับฝั่งมาห่อคลุมร่างกายอันเปลือยเปล่าของตนเตรียมตัวจะขึ้นฝั่งไปแต่งตัวหลังโขดหินที่ได้วางเสื้อผ้าทิ้งเอาไว้... คิม ดงยองก้าวขึ้นฝั่งอย่างทุลักทุเลเหมือนทุกวัน โดยที่หารู้ตัวไม่ว่า ในยามเช้าวันนี้มันไม่ได้ปกติเหมือนทุกวัน เพราะได้มีใครบางคนกำลังจับจ้องการกระทำทุกย่างก้าวอยู่...



แกรบ....


“จิ๊!



องค์ชายรัชทายาทส่งเสียงขัดใจในลำคอ เมื่อทรงได้ก้าวพลาดไปเหยียบเข้ากับกองใบไม้แห้งจนเกิดเสียง ทำเอาคนที่เพิ่งก้าวจขึ้นจากฝั่งหันขวับมาทางต้นเสียงในทันที...



พระองค์จำต้องย่อตัวหลบหลังโขดหินใหญ่ เพื่อที่จะไม่ให้อีกคนนั้นเห็น แต่กระนั้นก็ไม่ทันจะนึกว่าเสื้อผ้าของหนุ่มน้อยนั้นอยู่ตรงนี้...







“ท่านเป็นใครน่ะ!!!



เพราะคิม ดงยองจำต้องมาเอาเสื้อผ้าตรงนี้ แต่เขาดันพบเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ทำท่าทางเหมือนหลบใครอยู่แถวนี้ ให้ตายสิ...คงไม่ได้มามองดูเขาในตอนที่กำลังอาบน้ำหรอกใช่หรือไม่




“อื้อ!!!




งค์รัชทายาทหนุ่มรีบเข้ามาตะครุบปากของคนที่ทำท่าจะร้องโวยวายอีกครา มือหนาโอบเอวบางใต้ผ้าผืนใหญ่สีเข้มที่ทำหน้าที่ปกปิดเรือนกายสวยงามนั่นเอาไว้ ไม่ให้ร่างบอบบางในอ้อมแขนนี้ออกแรงดิ้นเด็ดขาด...



“ชู่ว..อย่าเสียงดังไปสิคนงาม เจ้าคงไม่อยากให้ใครมาพบเจ้าในสภาพนี้มากกว่าหนึ่งใช่หรือไม่? แล้วมาอาบน้ำคนเดียวแบบนี้ ไม่กลัวอันตายหรือไร?”



ดงยองในขณะที่ถูกปิดปาก เหลือบตามองบุคคลที่ไม่หน้าไว้ใจตรงหน้า..เขาอยากจะเถียงเสียเหลือเกินว่าก็มาอาบแบบนี้ทุกวันไม่เห็นจะเจอสิ่งใดอันตราย มีแต่คนผู้นี่แหละที่ดูน่าอันตรายเสียมากกว่าอีกแต่ในเวลานี้ถูกมือหนาปิดปากอยู่จึงมิสามารถเอ่ยสิ่งใดออกมาได้  แต่คนที่กำลังปิดปากดงยองอยู่นั้น ทั้งการแต่งกาย และรูปร่างหน้าตาที่ดูดีไรที่ตินั้น มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนแถวนี้เหมือนกับตน.. และในเมื่อเป็นคนที่ไม่รู้จักกัน ก็หาควรที่จะไว้ใจ ดงยองพยายามดิ้นออกจากอ้อมกอดของอีกคน แต่ก็ไม่เป็นผล..เขานั้นทั้งสูงใหญ่ทั้งแข็งแรงกว่าดงยองเสียตั้งเยอะ..



แต่สุดท้ายอีกคนก็ยามปล่อยดงยองในที่สุด....



“ข้าหาใช่คนที่เลวร้ายอะไร ข้าแค่หลงทางมาที่นี่”



“จริงหรือขอรับ”



เด็กหนุ่มช้อนตาเอ่ยถามคนที่สูงกว่า แต่ก็ยังคงความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกลับคนแปลกหน้าตรงหน้าอยู่ดี...



“จริงสิ... ข้าเดินหาทางออกเรื่อยๆจนเห็นกองเสื้อผ้าวางอยู่ ก็คิดว่าคงจะมีคนแถวนี้อยู่แน่ๆ แล้วก็คงจะช่วยหาทางออกได้”



“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าก็จะพาท่านหาทางออกก็ได้ ว่าแต่ท่านมาจากไหนเล่า ถึงได้หลงมายังทีนี่”



เจ้ากระต่ายป่าจิตใจงดงามที่เมื่อครู่ยังหวาดกลัวองค์ชายรัชทยาทอยู่ บัดนี้กลับเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร ให้ตายสิ..เพราะเหตุใดถึงไว้ใจคนแปลกหน้าได้ง่ายถึงขนาดนี้น่ะ...



หากสมมุติว่าไม่ใช่พระองค์ แต่คนไม่ดีคนอื่น หรือว่าพวกโจร หนุ่มน้อยตรงหน้าจักทำเช่นไรเหล่า...



“ข้ามาจากหมู่บ้านของแถบเขตพระราชวัง...”



เพียงได้ยินอย่างที่ชายตรงหน้าพูด ดงยองก็พยักหน้ารับแทบจะทันที จริงๆคนตรงหน้านั้นก็คือชายรูปงาม ผิวพรรณดี หาได้ดูว่ามีตรงไหนที่บ่งบอกว่าเป็นคนไม่ดีแต่อย่างใด เขาคงจะหลงมาจริงๆอย่างที่ว่านั่นแหละ



“หากทุกสิ่งเป็นจริงดังท่านกล่าว เช่นนั้นข้าก็ขอไปแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน แล้วข้าจักพาท่านไปยังทางออก”



ดงยองอาสาก่อนจะส่งรอยยิ้มให้ ก่อนจะหอบเสื้อผ้าของตนไปทางอื่น โดยหารู้ไม่ว่ารอยยิ้มของตนนั้นได้ทำให้หัวใจขององค์ชายรัชทยาทแห่งโครยอ ผู้มีศักดิ์จะได้เป็นกษัตริย์องค์ถัดไป นั้นเต้นระรัวจนจับจังหวะไม่ได้....



“เจ้าทำอะไรกับหัวใจข้ากัน...ดงยอง...”












“นี่ขอรับทางออกกลับไปยังเขตพระราชวัง”



ดงยองที่จัดแจงแต่งกายเรียบร้อยแล้วอาสาเดิมนำชายสองคนพามายังทางออกเพื่อให้เขากลับไปยังที่ของเขา กว่าจะถึงก็ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่นัก



องค์ชายยุนโอพยักหน้ารับ เมื่อเห็นว่าทางที่เด็กหนุ่มพามานั้นมันคือทางที่พระองค์ทรงอาชามากับแทอิลเมื่อเช้ามืดทีแรกจริงๆ...


“เดินทางกลับปลอดภัยนะขอรับ”



ดงยองกล่าวอวยพรชายนิรนามสองคน ก่อนจะหันหลังเตรียมกลับบ้านของตนบ้าง แต่กระนั้นสุรเสียงทุ้มขององค์รัชทยาทหนุ่มก็เอ่ยยรั้งคนงามไว้เสียก่อน



“เดี๋ยวสิ...”



“ขอรับ?”


“ที่ข้าและสหายมาที่นี่ ก็เพราะต้องการไปยังหมู่บ้านกลางป่าที่เป็นประชากรของโครยอ เจ้าพอจะพาข้าไปได้หรือไม่หนุ่มน้อย”



แทอิลมองมายังองค์ชายรัชทายาทด้วยความตกใจ พระเจ้าช่วยเถอะ เพียงแค่เจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้หารู้ไทม่ว่าเขากับองค์ชายคือผู้ใดแล้วต้องปิดบังตามคำบัญชาของพระองค์ตลอดทางที่ผ่านมามันก็ยากลำบากมากพอแล้ว แล้วนี่องค์ชายยังทรงจะให้เจ้าหนุ่มน้อยคนงามนี่นำทางพาไปยังหมู่บ้านนั้น... ขออย่างจงตกปากรับคำตกลงใดๆเลยเถิด...



“ได้สิขอรับ ที่นั่นคือหมู่บ้านที่ข้าอาศัยอยู่ หากท่านต้องการเช่นนั้นข้าก็จักพาไป...”



แทอิลถอนหายใจทันที พระเจ้าและสวรรค์นั้นกำลังกลั่นแกล้งเขาอยู่หรือไรเล่า แต่กระนั้นองค์ชายรัชทยาทก็หันมามองค้อนเขาเพราะไม่ต้องการให้แสดงกิริยาที่พามีพิรุธออกไป



และแทอิลจำต้องเงียบและสงบปากสงบคำอีกครา เพราะองค์ชายยุนโอมิอยากให้เจ้าหนุ่มตรงหน้านี่รู้ว่าพระองค์นั้นคือผู้ใด...



“ขอบใจเจ้ามากนะ...ถ้าเช่นนั้นก็ขึ้นมานั่งบนหลังม้ากับข้าเถอะ จะได้ไม่ต้องเดินเสียให้เมื่อย”



องค์ชายรัชทายาทเอ่ยเชิญชวน เพราะเห็นว่าในคราแรกดงยองก็เดินนำเขาและแทอิลมา ดงยองเม้มปากก่อนจะส่ายศรีษะไปมาเพราะความเกรงใจ...


“ไม่เป็นไรหรอกท่าน ข้าเดินได้ทางแค่นี้เอง”



“เถอะหน้า ถือว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจของเจ้าที่อุตส่าช่วยนำทางมิให้ข้าหลง...”



องค์ชายรัชทายาทเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะส่งมือไปยังตรงหน้าเด็กหนุ่มร่างเล็ก ดงยองช่างใจก่อนจะตัดสินใจไม่ปฏิเสธน้ำใจขององค์ชาย ยอทจับมือพระองค์แล้วขึ้นไปนั่งบนหลังอาชาสีขาวสง่าอยู่เบื้องหน้าขององค์ชายรัชทายาทอีกที....





แทอิลมองอย่างตกตะลึง ในตอนนี้คนที่กำลังขึ้นนั่งบนหลังอาชาหลวงขององค์รัชทายาทหาใช่อิสตรีผู้สูงศักดิ์ไม่ แต่กลับเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มแทน พลันคำกล่าวที่องค์ชายรัชทยาทกล่าวในยามยังทรงพระเยาว์ก็ดังขึ้นมาในหัวทันที...


“ข้าจักมิให้ผู้ใดมานั่งบนหลังม้าของข้านอกเสียจาก ท่านพ่อ ท่านแม่ และคนที่ข้ารัก”





“เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ? อายุเท่าไหร่?”



ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ก็ตามที แต่องค์ชายรัชทายาทก็ประสงค์อยากได้ยินชัดๆจากปากเจ้าตัวเอง...



“ข้าชื่อดงยอง...คิม ดงยอง..ข้าปีนี้17แล้ว ท่านสองคนเล่า?มีนามว่าเช่นไร?แล้วอายุเท่าไหร่กัน”



“ข้าชื่อยุนโอ..เพิ่งจะ18 ส่วนนั่นสหายข้าชื่อแทอิลก็เช่นกัน ข้าขอขอบคุณเจ้าอีกครั้งนะดงยอง เรื่องที่จะพาพวกข้าไปยังหมู่บ้าน”



เจ้าหนุ่มน้อยเอ๊ย...หากพวกในวังมารู้เข้าเจ้าคงจักต้องแย่เป็นแน่ แทอิลทำเพียงคิดในใจ แต่ก็เอ่ยสิ่งใดออกมามิได้เพราะอยู่ภายใต้คำบัญชาขององค์ชายรัชทายาท



“มัวทำอันใดอยู่แทอิล ไม่รีบตามมาเล่า...”








ท่ามกลางชุมชนที่ไม่ใหญ่แต่หากก็ไม่ได้เล็กเสียใจเกินไป กลางป่าแสนสงบ ผู้คนเดินสัญจรไปมา บ้างมีฐานะหน่อยก็ขี่ม้า บ้านหลังเล็กบ้างใหญ่บ้างสร้างกันอยู่เต็มชุมชน แต่ก็คงเพราะที่นี่ห่างไกลพระราชวัง ถึงได้แตกต่างกันไปโดยสิ้นเชิง



ภาพเหล่าประชาการและอริยาบทการใช้ชีวิตที่แตกต่างจากที่เคยเห็นทำให้องค์ชายรัชทยาทอดที่จะตื่นตาเสียมิได้เลย... ผู้คนไปไหนมาไหน พบหน้ากันก็ทักทายและยิ้มให้กัน ต่างจากชุมชนเขตพระราชวังที่ต่างเดินแทบไม่มองหน้ากัน จะคุยกันก็ต่อเมื่อเรื่องอวดร่ำอวดรวย อวดในยศถาบรรดาศักดิ์ และจะสงบก้มหน้าก็ต่อเมื่อองค์ราชันย์และเชื่อพระวงศ์เสด็จผ่าน...



ต่างจากที่นี่...เพราะองค์ชายรัชทายาทหาได้เคยเสด็จมาที่นี่กับกองทัพหลวงไม่... ชาวบ้านที่นี่ก็คงไม่รู้จักหน่าคร่าตาองค์ชายรัชทายาทว่าเป็นเช่นไร



“อากาศเริ่มร้อนแล้ว ท่านสองคนพักดื่มน้ำที่บ้านข้าก่อนดีหรือไม่...”



“เอาสิ...พวกข้าก็กำลังหิวน้ำพอดีเลยดงยอง ใช่หรือไม่แทอิล”



“เอ่อ..ชะ..ใช่ๆ”



แม้ว่าจะนึกเคลือบแคลงใจกับสหายอีกคนของท่านยุนโอ ว่าเหตุฉไนถึงถามคำตอบคำแล้วพูดน้อยนัก แต่ดงยองก็ไม่อยากจะตั้งแง่สิ่งใด เพราะคนเราก็นิสัยหาได้เหมือนกันหมดนี่...








ขันใส่น้ำฝนสองใบถูกส่งให้บุรุษจากถิ่นอื่นทั้งสองคน องค์ชายรัชทยาทรับขันน้ำมาก่อนจะยกดื่มแก้กระหาย ถ้าถามว่าอยากดื่มน้ำถึงขนาดหรือไม่ ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่เพราะว่าองค์ชายรัชทยาท อยากจะทรงมาเยือนยังบ้านของดงยองเสียต่างหาก...



“เจ้าอยู่บ้านผู้เดียวหรือดงยอง”



สุรเสียงทุ้มเอ่ยถาม ก่อนจะใช้เนตรมองไปรอบๆบ้านหลังเล็กกะทัดรัดหลังนี้เพราะประสงค์ที่จะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับดงยอง...



“หาไม่...ข้าอยู่กับพี่ชายของข้า...”


“แล้วพี่ชายเจ้าไปไหนเสียล่ะ...”



“วันนี้พี่ชายข้าเอาสมุนไพรป่าไปส่งในเขตพระนครเสียตั้งแต่เช้ามืด...เย็นๆจึงจะกลับถึง..”



“แล้วจะเป็นไรหรือไม่ หากพรุ่งนี้ข้ากับแทอิลจะมาที่นี่อีก..”



ทรงตัดสินใจเอ่ยถามไป คนงามเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วสงสัย บุรุษสองคนนี้หามิได้มีงานทำกันหรือเช่นไร ทำไมถึงได้เที่ยวเล่นกันได้นะ..



“ท่านสองคนมิมีงานต้องทำหรือ...”


“มิมีหรอก... งานของข้าจะมีก็ต่อเมื่อข้าอายุ25น่ะ... ต้นปีหน้าข้าต้องฝึกงานแล้ว..ช่วงเวลานี้ข้าจำต้องเที่ยวเล่นก่อน ก่อนที่จะทำงานอย่างไรเล่า”



สิ่งที่พระองค์เอ่ยนั้นหมายถึงการที่ต้องขึ้นเป็นกษัตริย์เมื่ออายุ25ชรรษา และเมื่อถึงปีหน้าก็ต้องเข้ารับการฝึกอบรมในเรื่องการครองเมือง การต่อสู้ ก่อนที่จะขึ้นครองเมือง แต่ก็ไม่ได้กล่าวโดยตรงให้เด็กหนุ่มรู้...



“ชีวิตท่านนั้นฟังดูสุขสบายเสียจริง ไม่เหมือนข้า ในวันพรุ่งนี้ข้าจักต้องเดินขึ้นเขาไปหาสมุนไพร เพื่อให้พี่ชายนำไปขายในเขตพระนคร พอได้เงินมาก็นำมาใช้จ่ายด้วยกัน...”


“เจ้านั่นหรือ?”


องค์ชายรัชทยาทเอ่ยถาม ร่างกายบอบบางเยี่ยงนี้น่ะหรือจะเดินเท้าขึ้นเขาไปเก็บหาสมุนไพร ไม่น่าเชื่อเลยเสียจริงๆ....


“ขอรับ...  แล้วพวกท่านต้องการจะไปที่ใดต่อหรือ? ข้าจะได้พาไป..”













ยามค่ำคืนได้มาเยือนถึงอีกครา เหล่าดวงจันทร์และดวงดาวบนฟากฟ้าต่างพากันเปล่งแสงสว่าง...องค์ชายยุนโอหลังจากที่เที่ยวเล่นในป่ามาทั้งวันก็นอนลงบนเตียงอย่างเหนื่อยล้า...พลันก็คิดถึงใบหน้างดงามของเจ้าหนุ่มน้อยกระต่ายป่า...



ไม่น่าเชื่อเสียจริงๆ ที่ความสัมพันธ์ของพระองค์กับเจ้าเด็กหนุ่มจะขยับขึ้นมามากกว่าเดิมจากทีเป็นอยู่...



องค์ชายหาได้โปรดปรานผู้ใดง่ายๆ แต่ว่าดงยองนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น ใบหน้าหวานและงดงามจนละสายตาไม่ได้นั้นก็พาลให้ดวงพระทัยทำงานหนักมากพอแล้ว แต่เพราะความอัธยาศัยดี และรอยยิ้มแสนจริงใจนั่น...



ความรู้สึกขององค์ชายรัชทายาทที่มีต่อเด็กหนุ่มธรรมดาผู้นั้น มันชักมากเกินไปเสียแล้วสิในเวลานี้.....


"แทอิล พรุ่งนี้ข้าจะไปที่นั่น หากแต่ข้ามิอยากให้เจ้าไปด้วย"



"อะไรนะขอรับ??"



สิ้นสุรเสียงองค์ชายรัชทยาท แทอิลที่กำลังคลี่ผ้าห่มเตรียมให้องค์ชายเอ่ยถามเสียง
สูง 



"อย่างที่ข้าได้เอ่ย"


"องค์ชาย..ท่านคงมิได้จักไปหาเจ้าหนุ่มน้อยคนนั้นใช่หรือไม่"



องค์ชายรัชทายาทเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อได้ยินแทอิลเอ่ยถึงดงยอง พระองค์อยากให้ถึงวันรุ่งขึ้นแทบใจะขาดแล้ว..



"หากข้าบอกว่าใช่เล่าแทอิล..."



"พระองค์...เด็กคนนั้นเป็นเพียงชาวบ้าน แถมยังเป็นชายอีก มันไม่เหมาะสมนะขอบรับ...."



องค์ชายรัชทยาทหลังฟังคำกล่าวของพี่เลี้ยง ก็เกิดอารมณ์หงุดหงิดทันที เหตุใดจึงต้องขัดใจกันนัก...



"มันเรื่องของข้า... เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมข้าเป็นคนกำหนดเอง"



"องค์ชาย..."



"เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ จงอย่านำเรื่องนี้ไปบอกผู้ใดโดยเฉพาะท่านพ่อและท่านแม่ เข้าใจหรือไม่แทอิล"



แทอิลพยักหน้ารับมิอาจขัดความประสงค์องค์ชายรัชทยาทได้  แต่เพียงเขากังวนเหลือเกิน ว่าหากปล่อยตามใจองค์ชายไปเรื่อยๆ ในภายภาคหน้าคงจะไม่ดีแน่ๆ....



"ดงยองช่างดงามเหลือเกิน ข้ามิเคยโปรดปราณใครเหมือนโดยองมาก่อน นี่เพียงวันที่สองเสียเท่านนั้นนะ ถ้าหากต่อไปเรื่อยๆ ข้าคงจะหลงจนโงหัวไม่ขึ้นเป็นแน่...."


แม่หญิงงามในวังที่ว่างามก็ยังไม่ทำให้องค์ชายรัชทยาทรู้สึกต้องการมากเพียงนี้ หากใช้อำนาจที่อยู่ในมือที่มีอยู่ ทำให้ดงยองเป็นของพระองค์ เจ้ากระต่ายน้อยนั่นจะโกรธหรือไม่นะ....





................................................................



ในยามเช้ามืดเวลาเดิมดังเช่นวันก่อนๆ...องค์ชายรัชทยาทแห่งโครยอ จัดแจงแต่งกายเยี่ยงทหารที่เฝ้าอยู่รอบๆตำหนักส่วนพระองค์  ทรงใช้ผ้าโพกหน้าโพกตาเสียมิดชิดจนไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นว่าคือพระองค์ และทรงทำเช่นนี้มาเป็นเวลาเกือบจะอาทิตย์หนึ่งแล้ว



องค์ชายรัชทายาทเดินย่องๆอย่างระมัดระวังมายังที่พักแห่งอาชาหลวงที่ในเพลานี้ เจ้าทหารที่รับหน้าที่เป็นยามเฝ้าก็ได้หลับใหลไปเสียแล้ว...



บอกให้พระบิดาลงโทษเสียเลยดีไหมเล่า....



“ท่านพี่! จะเดินทางไปที่ใดแต่เช้ามืดหรือขอรับ”



เสียงขององค์ชายมินฮยอง หรือที่เหล่าราษฎรเรียกขานนั่นก็คือองค์ชายสองแห่งโครยอ และ มีศักดิ์เป็นน้องร่วมสายเลือดแท้ๆขององค์ชายรัชทายาทยุนโอ



“เงียบๆสิมินฮยองประเดี๋ยวเจ้าทหารเฝ้าม้านี่ก็ตื่นเอาหรอก...”



“ท่านพี่จะไปยังที่ใดหรือ โปรดบอกข้าบ้าง”



องค์ชายวัย13 ชรรษา เพิ่งเติบโตเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ช่วงในวัยแห่งการอยากรู้อยากเห็น องค์ชายมินฮยองยังอยู่ในชุดบรรทมอยู่เลยด้วยซ้ำ


“พี่จักไปเที่ยว เที่ยวในป่าใหญ่นู่น ช่วงตอนเพลาเย็นๆนั่นแหละจึงจะกลับ”



“ช่างน่าสนุกเสียจริง ให้ข้าไปด้วยมิได้หรือ...”



องค์ชายมินฮยองเอ่ยขอร้องพระเชษฐา ที่ขึ้นทรงม้าด้วยท่าทางอันสง่านั่น พระเชษฐาของพระองค์นั้นช่างแสนมองดูสง่างามเหลือเกิน สมแล้วกับตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท...



“มินฮยองน้องพี่....ในเพลานี้เจ้ายังเด็กนัก กลับไปนอนเสียเถิด ไว้หากเจ้าโตพี่ พี่สัญญาจะพาเจ้าไปแบบนี้บ้าง”



“โถ่.....ท่านพี่”



องค์ชายสองทอดถอนหายใจตัดพ้อ เมื่อเป็นอีกครั้งที่พระเชษฐาได้เอ่ยปากว่าพระองค์นั้นยังเด็ก..



“เถอะหน่า..น้องรัก เชื่อพี่เถิด สิ่งใดที่เป็นไปตามความเหมาะสมของช่วงเวลานั้นมักจะดีเสมอนั่นแหละ”



“ก็ได้ขอรับ...”




ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยในพระทัย แต่เพราะทรงเป็นพระเชษฐา ผู้เป็นน้องหาได้มีสิทธิขัดแย้งใดๆ และองค์ชายมินฮยองรู้ดีว่า องค์ชายยุนโอผู้พี่นั้นหวังดีกับตนเสมอ....





...............................................



“ไม่อยู่อย่างที่พูดเสียจริงด้วยสินะ..”


องค์ชายรัชทายาทเอ่ยในขณะทรงอาชามายังบ้านของหนุ่มน้อยดงยอง บริเวณหน้าบ้านปิดเงียบราวไม่มีผู้ใดอยู่


“ท่านมาหาผู้ใดหรือ..”


หญิงสาวผู้หนึ่งที่เดินผ่านมาเอ่ยถาม หลังทรงเห็นองค์ชายรัชทยาททรงม้าเดินไปมาบริเวณหน้าบ้านของดงยอง แต่หากนางก็หารู้ไม่เหมือนกับดงยองและชาวบ้านคนอื่นๆ ว่าพระองค์นั้นคือองค์ชายรัชทายาทแห่งโครยอ...


“ข้ามาหาดงยอง...”

“ดงยองหรือ? เห็นออกไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว..”


ก็เป็นอย่างที่พระองค์คิด ทุกครั้งที่มายังที่นี่ ดงยองได้เอ่ยเอาไว ว่าจะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร...กว่าจะกลับก็เกือบสายกว่าๆนู่น พระองค์มิอยากจะรอ แต่อยากเป็นคนไปหาโดยองให้ถึงที่เอง เผื่อจะช่วยสิ่งใดเด็กหนุ่มได้บ้าง เพราะเมื่อวันก่อน ดงยองเองก็เพิ่งจะบอกว่า พี่ชายของตนถูกเลือกให้ไปเป็นทหารโดยการเกณฑ์จากพวกขุนนางในราชวัง ทำให้งานทุกอย่างต้องตกเป็นของดงยอง และในตอนนี้ดงยองต้องอยู่บ้านเพียงลำพังเพราะพี่ชายนั้นนานๆจะกลับมา



“แล้วเจ้าพอที่จะรู้หรือไม่เล่า ว่าทางที่ดงยองไป มันไปทางใด..”







ไม่เห็นพบ....


องค์ชายรัชทายาททรงอาชาสีขาวสง่าประจำพระองค์มายังทางที่หญิงสาวบอก แต่ก็หาได้เจอดงยองไม่... แถมอากาศแถวๆนี้ก็ช่างหนาวเย็นนัก พระองค์ก็ทรงเพียงหวังเล็กๆว่าอย่าได้มีอันตรายใดๆเกิดขึ้นกับเจ้ากระต่ายน้อยนั่นเลย หรือหากไม่เช่นนั้น ก็ขอให้ดงยองเดินทางกลับมาถึงบ้านของตนแล้วก็ได้ เพราะพระองค์ก็กำลังจะเดินทางไปรอดงยองที่บ้านเช่นกัน


“ท่าน!!   ท่าน!!


น้ำเสียงอันคุ้นเคยดังมาจากที่ใดสักแห่ง องค์ชายรัชทายาทจำได้ขึ้นใจว่านั่นคือเสียงของดงยอง... หากแต่ว่าเมื่อมองซ้าย มองขวาก็ไม่เห็นร่างของคนที่ควรจะอยู่บริเวณนี้แม้แต่เงา....จะมีก็แต่ตระกร้าใส่สมุนไพรที่วางอยู่ขวามือถัดไปจากองค์ชาย


“ท่านยุนโอ! ข้าอยู่ข้างบนนี้”


องค์ชายรัชทายาททรงแหงนพักต์มองขึ้นไปยังข้างบนต้นไม้ใหญ่ตามต้นเสียง ก็พบร่างของคนที่อยากเจอนั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ พร้อมส่งรอยยิ้มมาให้... รอยยิ้มสวยงามที่ทำให้พระทัยองค์ชายยุนโอนั้นเต้นไม่เป็นจังหวะเสียทุกครั้ง....


“เจ้าขึ้นไปทำอะไรของบนเล่า?


“ข้าพาเจ้าลูกนกตกต้นไม้มาคืนให้แม่มันที่รัง แล้วท่านเล่า มาทำอะไรแถวนี้หรือ...”


ดงยองเอ่ยสาเหตุที่ตนปีนขึ้นมายังต้นไม้ใหญ่ต้นนี้พร้อมชี้ไปยังรังนกที่ในเวลานี้ เจ้าลูกนกแสนน่าสงสารนอนอยู่ในรังกับพี่น้องร่วมแม่ของมันเรียบร้อยแล้ว...


“ข้าก็มาหาเจ้านั่นแหละ...แล้วเหตุใดในเมื่อใจพาลูกนกกลับรังแล้วถึงยังไม่ลงมาเสียที? ”


เมื่อองค์ชายรัชทายาทได้เอ่ยถามกลับไป ดงยองก้มหน้าก้มตาทำหน้าตาน่าสงสารราวกลับจะร้องไห้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น...


“ข้า...ข้าลงไม่ได้ ข้าไม่กล้าข้ากลัว”


“ว่าเช่นไรนะ...?”


“ท่านยุนโอ จ้าควรจะทำเยี่ยงไรดีถึงจะลงไปยังพื้นข้างล่างได้โดยไม่เจ็บตัว”


องค์ชายรัชทายาทแย้มสรวลนึกเอ็นดูเกระต่ายป่าแสนซนข้างบนกิ่งไม้ ที่ริอาจอยากช่วยลูกนก จนต้องปีนป่ายขึ้นต้นไม้สูงใหญ่ แต่กระนั้นกลับหาทางที่จะลงไม่ได้เสียอย่างนั้น....


องค์ชายรัชทายาท ก้าวลงจากหลังอาชา ก่อนจะเดินลงมายังใต้ต้นไม้ใกล้ๆ เพราะพระองค์จะทรงหาทางช่วย กระต่ายน้อยที่ติดอยู่บนต้นไม้อย่างหน้าสงสาร


“จงแข็งใจกระโดดลงมายังข้าเถิดดงยอง แล้วข้าจะรอรับเจ้าไว้...”


องค์ชายกล่าวพร้อมอ้าแขนเตรียมรอรับ ดงยองส่ายหน้าไปมา แล้วถ้าหากว่าพลาดขึ้นมาเขาจะไม่ต้องลงไปเจ็บตัวหรือไม่ก็กระดูกหักหรือไรกันเล่า...


“ข้าไม่กล้า...”


ดงยองเม้นปากพร้อมกับแสดงออกทางสีหน้าไปว่ากลัวจริงๆ  หากถามว่าอยากลงไปข้างล่างหรือไม่ก็ขอตอบเลยว่าอยาก แต่ความกลัวดันมีอิทธิพลมากกว่าความต้องการ...


“เชื่อข้าเถอะ เจ้าจะไม่เป็นอะไร”


แต่คำสัญญาและดวงตาที่มองขึ้นมาอย่างมั่นคง ว่าสิ่งที่กล่าวว่าดงยองจะไม่เจ็บตัวอย่างที่ได้เอ่ยไว้แน่นอน ทำให้ดงยองตัดสินใจ ทิ้งตัวกระโดดลงไปหาอ้อมแขนที่รอรับ ณ พื้นดินเบื้องล่าง....


“โอ๊ยยยย!!!!


เสียงร้องนั่นหาใช่เสียงของดงยองที่กระโดดลงมาแล้วตกลงสู่พื้นดินจนเจ็บตัวไม่ หากแต่เป็นเสียงขององค์รัชทยาทหนุ่มที่ได้อาสารอรับผู้ที่จะกระโดดลงมา แต่เพราะแรงตกจากที่สูงทำให้ผู้ที่รอรับและผู้ที่ทิ้งตัวลงมานั้นต้องล้มลงไปกองบนพื้นทั้งคู่...



ดงยองที่ลงมาข้างล่างถึงแม้จะเสียหลักล้มก็จริง แต่ก็ไม่ได้เจ็บตัวเพราะมีร่างของท่านผู้ใจดีร่างรับเอาไว้ แต่ผู้ใจดีผู้นี้นี่น่ะสิ คงจะเจ็บปวดหน้าดู...



พลันทันใด...ดวงเนตรคมสบผสานเข้ากับดวงตากลมในระยะประชิดอย่างมิได้ตั้งใจ ลมหายใจหยุดชั่วขณะ...เมื่อได้มองใบหน้างดงามในระยะใกล้ๆ... ดงยองงามเสียจริงๆ องค์รัชทยาทหนุ่ม ไม่คิดว่าบนโลกใบนี้นั้นจะมีชายคนใดที่งดงามได้ถึงเพียงนี้ จนจะตกรู้สึกตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า...


“ท่าน...ลุกกันเถอะขอรับ ”


เป็นโดยองที่เป็นฝ่ายเอ่ยชวนขึ้นมา ทั้งคู่ค่อยๆพากันลุกขึ้นนั่งแทนนอน มือเรียวปัดไปมาตามเศษใบไม้แห้งตามเสื้อผ้าของตนเอง และยังปัดให้ที่เสื้อผ้าของบุคคลใจดีข้างๆด้วย...


“ขอบคุณท่านยุนโอมากๆนะขอรับ  ถ้าท่านไม่บังเอิญผ่านมาข้าต้องแย่แน่ๆเลย...”



ดงยองกล่าวพร้อมช่วยประครององค์ชายรัชทายาทลุกขึ้นจากพื้น ก่อนจะเดินไปหอบตะกร้าสมุนไพรที่วางทิ้งไว้มาถือ...



“มิเป็นไรหรอก... ว่าแต่เจ้าเล่า...จะกลับหรือยัง หากจะกลับ กลับกับข้าหรือไม่..”


องค์ชายรัชทายาทเอ่ยเชิญชวน โดยองส่ายหน้าอย่างเกรงใจอีกครา หลายครั้งที่ผ่านมาก็ได้นั่งหลังเจ้าม้านี่ไปแล้ว ขืนให้นั่งอีกรอบเกรงใจเขาแย่เลย...



“ข้าก็กะเอาไว้แล้วว่าเจ้าจักต้องปฏิเสธข้า แต่..ได้โปรดขึ้นมาเถอะ..”


องค์ชายยุนโอเอ่ยพร้อมแย้มสรวลก่อนจะจ้องไปยังดวงตากลมนั่น แล้วเอ่ยในประโยคถัดมาที่จะทำให้หนุ่มน้อยแสนขี้เกรงใจยอมขึ้นมานั่งบนหลังอาชากับพระองค์


“ถือว่า...เจ้าตอบแทนที่ข้าช่วยเจ้าลงมาเมื่อครู่”


“ท่าน!










เป็นอีกคราที่ดงยองยอมนั่งบนหลังอาชาสีขาวเบื้องหน้าองค์ชายรัชทยาทที่ทำหน้าที่คุมยังเหียน แขนเรียวโอบกอดตระกร้าใส่สมุนไพร มองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า... หูข้างซ้ายของคนงามมีดอกไม้สีขาวทัดอยู่ โดยองค์ชายรัชทยาทเป็นคนทัดมันไว้ให้กับมือ แต่หากดงยองก็ไม่ได้ขัดสิ่งใด......


“ทำไมท่านถึงมาหาข้าที่นี่หรือ?”


ดงยองเอ่ยถาม ในขณะที่ดวงตานั้นก็ยังคงจดจ้องมองไปยังเบื้องหน้าเหมือนเดิม แต่แทนที่จะได้รับคำตอบ แต่กลับได้รับคำถามกลับมาแทนเสียอย่างนั้น... แลล้วยังเป็นคำถามที่ชวนให้ใจดวงน้อยนั้นเต้นแรงเสียอีกด้วยนี่สิ...



“เจ้าเชื่อในรักแรกพบหรือไม่...”


อาชาสีขาวประจำพระองค์ พาเดินมายังเกือบจะถึงทางเข้าหมู่บ้านแล้ว องค์ชายบังคับให้มันหยุด หลังจากที่เอ่ยถามคำถามเด็กหนุ่ม...


“ท่านหมายถึงเช่นไร...”

“ที่ข้ามาที่นี่...ก็เพราะสิ่งที่เรียกว่ารักแรกพบ..ที่มันเกิดขึ้นในหัวใจของข้า..”


ผู้ใดกันหนอ...ที่ทำให้ชายหนุ่มรูปงามผู้นี้ต้องเดินทางจากในหมู่บ้านเขตพระราชวังมายังหมุ่บ้านกลางป่าแห่งนี้ หญิงสาวผู้นั้นจักใช่สาวงามของหมู่บ้านเราหรือไม่นะ... ดงยองทำเพียงคิดในใจแต่หากไม่ได้ถามออกไป



 “เจ้ารู้มั้ยว่าสิ่งๆนั้น่ะ เกิดขึ้นเพราะผู้ใด?”


“ผู้ใดหรือขอรับ...?”



“ก็เจ้าอย่างไรเล่า...”



!!!!!!



ดวงหน้าหวานเห่อร้อนขึ้นมาทันควัน ความเย็นของอากาศในเวลานี้ก็ไม่ช่วยให้ลดน้อยลง สิ่งที่หนุ่มรูปงามข้างหลังเขาเอ่ย เป็นเรื่องล้อเล่นใช่หรือไม่... ไม่มีทางหรอก..


“ท่านพูดเล่นหรือ...?”


“ข้าพูดเรื่องจริง...”


สุรเสียงกล่าวยืนยันหนักแน่น องค์ชายลอบมองบริเณใบหน้าหวานที่ขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างหน้าเอ็นดู ดงยองคงกำลังเขินอยู่เป็นแน่...


“เจ้ารู้มั้ย... ว่าข้าไม่เคยพบใครที่งามเท่าเจ้ามาก่อนเลยดงยอง”


“....”


“ข้ารักเจ้า ... รักเจ้าเหลือเกินดงยอง”


อ้อมแขนแกร่งโอบกอดร่างบอบบางจากข้างหลัง องค์ชายรัชทายาทเอ่ยความในใจให้เด็กหนุ่มฟัง..บนหลังอาชาที่หยุดเดิน... ยิ่งนับวันที่ได้อยู่ใกล้ก็ยิ่งต้องการ ต้องการครอบครองแต่เพียงผู้เดียว..


“แต่ข้า... ข้าหาใช่อิสตรีไม่ มันไม่ถูกต้อง ”


ดงยองเอ่ยปฏิเสธ ถึงแม้จะยอมรับไปแล้วว่ารู้สึกดีเหลือเกิน แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนความไม่ถูกต้องแบบนี้ อย่างไรก็ไม่ถูกอยู่ดี...


“ข้าก็หาได้รักเจ้าเพราะเจ้าคืออิสตรีนี่ดงยอง...ข้ารักเจ้าที่เจ้าเป็นตัวเองต่างหาก โปรดเชื่อใจข้าเถิด และจงรับความรักของข้า ได้โปรดคนงาม..หากเจ้าไม่รับรักข้า หัวใจข้าจักต้องเจ็บปวดมากเป็นแน่...”


“ข้า....อ๊ะ..!


คนงามในอ้อมแขนส่งเสียงร้องเมื่อพวงแก้มนิ่มถกขโมยสูดดมความหอมเสียเต็มปอด คนถูกหอมดิ้นเร่าๆไปมาหวังให้เขาไป แต่หากไม่ยิ่งดิ้นกลับยิ่งถูกกอดแน่นยิ่งกว่าเดิม....


“ท่านอย่าทำเช่นนี้เลย...ได้โปรด...ข้าหาได้ใช่คนที่ถูกต้องและคู่ควรกลับท่าน เช่นไร ครอบครัวของท่านก็คงต้องการที่จะให้ท่านมีคู่ชีวิตที่ดีและเหมาะสม แล้วก็มีทายาทสืบทอดตระกูล”



ดงยองเอ่ยห้ามองค์ชายรัชทายาทด้วยเหตุผลของตนเอง เจ้ากระต่ายน้อยตอนนี้ทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ องค์รัชทายาทหนุ่มทำเพียงถอนหายใจ เมินเสียเถิด ถึงจะยกเหตุผลนานาประการมาพูด พระองค์ก็ไม่คิดจะสน ดวงหทัยดวงเดียวที่เลือกและตัดสินใจแล้วนั้นมิอาจจะเปลี่ยนจากที่ต้องการเป็นสิ่งอื่นได้ ถึงแม้ว่าจะดีกว่ามากแค่ไหนก็ตาม



“เจ้าคงจะยังเห็นความรักที่ข้ามีต่อใจไม่พอ.. ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็นเอง ว่าข้านั้นรักเจ้ามากแค่ไหน...”





...............................................................





ในช่วงเวลาบ่ายแก่ๆเห็นจะได้ องค์ชายรัชทยาท เพิ่งจะมาส่งเจ้าหนุ่มน้อยยังบ้าน เพราะวันทั้งวัน เอาแต่เที่ยวเล่นเตร็ดเตร่ ไปทั่วผืนป่า เพราะอากาศหาได้ร้อน แต่กลับชื้น และร่มเย็น องค์ชายรัชทายาทแห่งโครยอจึงรู้สึกมีความสุขกับการได้ไปยังในที่ต่างๆนอกเขตพระราชวัง แล้วยิ่งมีเจ้าหนุ่มน้อยดงยองตามติดไปด้วยแม้มิได้เต็มใจและร้องจะกลับบ้านอยู่ตลอดเวลาก็ตามที...แต่ในดวงหฤทัยขององค์ชายยุนโอก็เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข....


แม้จะทรงอาชาพาดงยองมาส่งถึงหน้าบ้าน หากแต่ก็ยังมีผู้คนในหมู่บ้านมากมายพากันจ้องมองราวกับทั้งคู่เป็นจุดสนใจ องค์ชายรัชทายาทมิได้ใส่ใจสายตาพวกนั้น...แต่กระต่ายน้อยเบื้องหน้ากลับเอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตา...


“ถึงแล้ว..”


ดงยองพยักหน้าก่อนจะก้าวลงหลังอาชาแต่หากเอวบางกับถูกโอบกอดเอาไว้ไม่ให้ด่วนก้าวลงไปเสียก่อน


“ท่าน..เหตุใดจึงไม่ปล่อยข้าลงหลังม้าเล่า?”


ดงยองหันมาเอ่ยถาม คิ้วสวยขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ ไม่รู้ว่าเขาจักแกล้งอะไรตนอีก แต่หากเจ้าของอ้อมแขนเอาแต่อมยิ้ม พร้อมทำหน้ากวนประสาท พาลให้เด็กหนุ่มงอหน้าใส่...


“ในวันพรุ่ง ข้าจักพิสูจน์ให้เจ้าเห็นถึงความรักของข้า เจ้าจงเตรียมตัวไว้เสียได้เลยคิม ดงยอง”


“สิ่งใดเล่า โปรดบอกข้า...”


“ขืนบอก...เจ้าก็ไม่ตื่นเต้นสิ เอาไว้เราดูเถิด...”


องค์ชายรัชทายาทหนุ่มกล่าวบางสิ่งที่ฟังดูแล้วแสนกลำกลวงสำหรับดงยองเหลือเกิน แต่หากแขนแกร่งก็ปล่อยร่างบางให้ลงจากหลังอาชาหลวง เดินเข้าบ้านไป...









“องค์ชายขอรับ...จะทรงทำเช่นนั้นจริงๆหรือ..?”


ตั้งแต่ที่องค์ชายรัชทายาทเดินทางกลับมายังตำหนัก ก็ได้เอ่ยเรื่องที่ประสงค์จะให้แทอิลทำ แต่หากเรื่องนี้นั้นทำให้ผู้ที่เป็นพี่เลี้ยงเยี่ยงเขาลำบากใจนัก...


“ก็ข้าสั่ง เหตุใดเจ้าจักทำมิได้?”


พระองค์กล่าวอย่างสบายพระทัย ก่อนจะยกจอกเหล้าขึ้นดื่ม เวลามีความสุข องค์ชายรัชทายาทมักชอบดื่มสุรา เป็นเรื่องธรรมดา แต่หากก็มิได้บ่อยครั้ง ด้วยเพราะอยู่ในตำแหน่งฐานะองค์รัชทายาท นั่นคือว่าที่กษัตริย์องค์ถัดไป ทรงอยู่บนความกดดันของผู้อื่นหลายๆคน ทั้งพระบิดามารดาก็ได้ เหล่าขุนนางก็ดี หรือแม้กระทั่งราษฎรโครยอเอง แม้บางครั้งพระองค์จะทรงทำตามพระทัยตัวเองมากเกินไปบ้าง แต่แทอิลก็ไม่เคยขัด เพราะเห็นใจองค์ชายมาตลอด.. แต่หากว่าเรื่องนี้มัน...


“เถอะหน้าแทอิล...ข้าขอใช้สิทธิในความเป็นองค์รัชทายาทของข้าบ้างมิได้หรือไรเล่า”


แต่สุดท้าย แม้ภายในใจพี่เลี้ยงแห่งองค์รัชทายาทจะเอ่ยขัดแย้งมากเท่าใด แต่หากองค์ชายรับสั่งขนาดนี้แล้วก็คงต้องตามใจกันอยู่ดี....












วันต่อมา...


ในช่วงเวลาตอนบ่ายของวัน แดดกำลังดีเช่นนี้ ทำให้ดงยองที่ออกไปซักผ้าที่ลำธารเพิ่งจะกลับมา สามารถขึงราว และตากผ้าได้.... ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังสะบัดผ้าขึ้นตาก ก็ฉุกคิดขึ้นมาถึงคำพูดของคนเมื่อวานได้...


“ฮึ! ก็คงไม่มาทำเยี่ยงที่พูดหรอกกระมัง....”


ดงยองตากผ้าของตัวเองต่อไปพลางส่ายหน้าไปมาเมื่อคิดถึงคำพูดของชายรูปงามเมื่อวานนี้ เขาดูเป็นคนสง่างามและมีสง่าราศีเยี่ยงคนใหญ่คนโต คงจักไม่มาคิดจริงจังอันใดกับชาวบ้านกลางป่าแบบเขาหรอก คนเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างเช่นนั้น หากเป็นดงยองก็คงจะเลือกหญิงงามเสียสักคนมาเป็นเมีย มากกว่าที่จะมาเลือกชายธรรมดาๆ ที่ไม่สามารถมีทายาทให้ได้เช่นเขา...


ในระหว่างที่ดงยองกำลังนึกคิดอะไรเพลินๆ เสียงฮือฮาของเหล่าชาวบ้านในหมู่บ้านก็ดังขึ้นทั่วบริเวณ จนอดที่จะอยากรู้และต้องละงานในมือเสียไม่ได้


เมื่อเดินมาถึงยังหน้าบ้าน ดงยองนั้นก็ต้องเผชิญกับอะไรที่แสนจะน่าประหลาดใจ เพราะสิ่งที่เด็กหนุ่มกำลังเผชิญอยู่นั้น เหมือนในวันที่พี่ชายถูกคัดเลือกให้ไปเป็นทหารของวังหลวง ....


“ท่านแทอิล!


เมื่อผู้ที่คุ้นเคย ขี้ม้าฝ่าพวกทหารมาตรงหน้า ดงยองก็ร้องเรียกหาทันทีด้วยความดีใจที่อย่างน้อยหากทหารพวกนี้จะทำสิ่งใด ก็ยังมีคนที่ช่วยให้อุ่นใจขึ้นมาบ้าง


 แทอิลในตอนนี้แต่งกายคล้ายๆกับทหารโครยา แต่ก็หาเหมือนเลย เพราะเสื้อผ้าของแทอิลนั้น ดูหรูหรากว่าพวกทาหารอยู่หลายเท่าตัว...

“จงเก็บข้าวของแล้วมากับพวกข้า...”


บุคคลที่เคยพูดน้อยในทุกคราที่เจอกันบัดนี้กล่าวสั่งโดยองด้วยน้ำเสียงหนักแน่นด้วยใบหน้าแสนเรียบนิ่ง ดงยองมองด้วยความไม่เข้าใจ แต่แทอิลก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา


“มันเรื่องอันใดกันเล่าท่าน...เหตุใดข้าจึงต้องไปกับท่านด้วย”


“เพราะพวกข้านั้นได้รับคำสั่งมาจากองค์ชายรัชทายาทให้มีพาตัวเจ้าไป...”


“ข้านะรึ! เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น แล้วเหตุใด..ทำไมข้าจึงต้องไป แล้วท่าน...เหตุใดจึงกลายเป็นทหารแห่งกองทัพได้เล่า ข้ามิเข้าใจ”


เด็กหนุ่มเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ มันไม่มีเหตุผลใดๆที่องค์รัชทายาทจะเรียกตัวเขาไปเข้าเฝ้า แต่หากให้ไปเป็นทหาร เมื่อคราที่แล้วทางกองทัพก็ยืนยันว่าต้องการแค่พี่ชายเขา...หวังว่าคงจักไม่ใช่สิ่งใดที่พิลึกพิลั่นอันไม่ใช่หน้าที่ชายพึงจะทำหรอกนะ...


“องค์ชายทรงอยากให้เจ้าไปถวายงานรับใช้พระองค์”


“ไม่! นั่นมึงสิ่งที่อิสตรีจะต้องทำ หาใช่ชายเยี่ยงข้า ข้าไม่ไปหรอก...”


ดงยองเอ่ยปฏิเสธแทบจะทันที เหตุใดองค์ชายรัชทยาทถึงนึกเลือกเขาทั้งๆที่ไม่เคยพบเจอกันมาก่อน มันไม่ควรเลยสักนิดที่จะให้ผู้ชายไปปรนนิบัติอะไรอย่างนั้นที่นางในวังทำกัน...


“หากว่าเจ้าไม่ไป.. พวกข้าก็คงจะไม่รับประกันความปลอดภัยในการเป็นทหารของพี่ชายเจ้า... เจ้าคงมิอยากทำให้พี่ชายเดือดร้อนหรอก...ใช่หรือไม่?”


“เหตุใดพวกท่าน..ถึงใจร้ายกับข้านักเล่า...”


ดงยองเอ่ยตัดพ้อทำหน้าราวกับจะร้องไห้ เพราะถ้ากล่าวเช่นนี้ มันก็หมายความว่าเขาก็ไม่มีสิทธิ์จะเอ่ยปฏิเสธไม่ว่าหนทางใด พลางคิดถึงใบหน้าของชายรูปงามที่บอกว่าจะมาหาในวันนี้ แต่กลับไม่พบ สิ่งที่พบกับมีเพียงท่านแทอิลและข้อบังคับที่จะต้องตกลงทำเท่านั้น


แทอิลเองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็เกือบจะใจอ่อน เพราะสิ่งที่กำลังทำนี้เขาก็ไม่ได้อยากจะกระทำเช่นกัน แต่หากฝืนทำก็เพราะคำบัญชาจากองค์ชายรัชทายาทอีกที...


“เจ้าจงเลือกทำเสียเถิด ยอมๆไปก็มิได้เสียหายสิ่งใดมาก หากพระองค์เบื่อเจ้าเร็ว เจ้าก็จะได้กลับมาที่นี่ใช้ชีวิตดังเดิมเร็วขึ้น และพี่ชายใจก็จักยู่ดีกินดีไปด้วย มิดีหรือเจ้ากระต่ายน้อย...”


เพราะหน้าที่ที่ได้รับ แทอิลจึงพยายามพูดหว่านล้อมให้ดงยองยาม ดงยองคิดหนัก ทั้งชีวิตตัวเองและชีวิตพี่ชายอยู่บนพันธะเดิมพัน  แต่กระนั้นสิ่งที่ต้องกระทำมันก็ไม่ได้หนักเกินฝ่าเกินแรง...


“กะ...ก็ได้...ข้าตกลง”














ในเขตพระราชวังหลวง ทุกอย่างช่างแตกต่างจากที่ๆมา เสียจนดงยองรู้สึกตื่นเต้นไปเสียหมด เด็กหนุ่มมิเคยสักครั้งที่จะได้เข้ามา เพียงแค่เคยฟังบรรยายาและพรรณนาถึงบรรยากาศ ณ ที่แห่งนี้จากผู้เป็นพี่เพียงเท่านั้น ไม่คิดเลยว่ามันจะงดงามเพียงนี้...


ผู้คนแต่งตัวสวยงามเดินสัญจรไปมาสำหรับดงยองนั้นเป็นอะไรที่แปลกใหม่ อีกทั้งตลาดร้านค้านานา ที่มีข้าวของมาขายมากมายและแตกต่างจากหมู่บ้านของตนโดยสิ้นเชิง...


แต่ที่ดงยองมาที่นี่ ก็มิได้มาเที่ยวเล่น แต่จักต้องมาถวายงานองค์ชายรัชทยาทต่างหาก...



เมื่อมาถึง ดงยองถูกพาตัวไปหลังตำหนักหลวงแห่งองค์ชาย ณ ที่แห่งนี้ มันกว้างขวางเสียยิ่งกว่าหมู่บ้านของดงยองสามหมู่บ้านรวมกัน ทุกคนแต่งตัวดูดีและงดงามเสียจนเขาดูคล้ายๆตัวประหลาดไปเสียเลย... หญิงวัยกลางผู้หนึ่งนางหาได้พูดสิ่งใดกลับดึงมือเข้าไปยังด้านหลังที่เป็นห้องอะไรบางอย่าง


ดงยองถูกจับถอดเสื้อผ้าขัดสีฉวีวรรณเยี่ยงชาววังเขาทำกัน  ยามนางไม่ได้ดังใจก็จะดุดงยอง เขามิใช่ตุ๊กตาหรือหุ่นไม้ว่าเสียหน่อยที่จะโอนอ่อนตามนางทุกอย่างได้ ขนาดเวลาที่จะปรับตัวดงยองยังไม่มีด้วยซ้ำ เพราะแทอิลได้บอกดงยองว่าองค์ชายรัชทายาทนั้นต้องการให้เขาถวายงานคืนนี้


แล้วเพราะเหตุใดกัน  ทั้งๆที่รอบๆตำหนักก็มีหญิงงามากมาย ทำไมถึงต้องเป็นดงยองด้วยที่มาทำอะไรแบบนี้...มันช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยจริงๆ


องค์ชายรัชทายาทแห่งโครยอนั้นคิดอะไรอยู่ แล้วทำไมถึงต้องเป็นเขาด้วยเล่า...



“พี่สาวจ๊ะ...พี่สาวพอจักรู้หรือไม่ ว่าเหตุใดองค์รัชทยาจึงเลือกผู้ชายมาถวายงาน...”


นางผู้ที่กำลังทำหน้าที่ขัดตัวให้ดงยองหาได้ตอบคำถามของดงยองไม่ แต่กลับอ้าปากตาโตลุกวางพลางเอามือทาบใบหน้าเหมือนคับคล้ายกำลังดีใจในบางสิ


“เมื่อครู่นี้เจ้าเรียกข้าว่าพี่สาวหรือ????”


“ขะ...ขอรับ..”


“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเข้า43แล้วปีนี้ เจ้าหนุ่มน้อยเอ๋ย...ชั่งตาถึงเสียนี่กระเรา สมแล้วที่จะมาถวายงานองค์ชายรัชทายาท”


นางกล่าวชมพลางใช้สมุนไพรชั้นดีของโครยอขัดผิวเด็กหนุ่มต่อพลันอารมณ์ดีขึ้นมาทันตา


“เอ่อ...แต่พี่สาวยังมิได้ตอบข้าเลยนะ...”


“ข้าเองก็หารู้เหมือนกัน เพราะองค์ชายรัชทยาทท่านก็ยังมิเคยเรียกใช้การถวายงานผู้ใด เจ้าน่ะเป็นคนแรกที่พระองค์เรียกหา...ที่ข้าประหลาดใจนักคือเจ้าเป็นชายนี่แหละ... แต่ถึงกระนั้น เจ้าก็ยังงดงาม งดงามยิ่งกว่าอิสตรีในวังบางคนเสียอีก ข้าก็มิแปลกใจหรอก.. อ้อ! แต่อิสตรีในวังที่ข้าว่า มีคนที่เจ้างามสู้ไม่ได้อยู่ผู้หนึ่งนะ...”


“ผู้ใดหรือพี่สาว?”


“ฮะๆๆๆ ก็ข้าเยี่ยงไรเล่าถามได้ นี่ถ้าหากข้ายังสาวอยู่คงถูกเลือกไปถวายงานเป็นแน่ เพราะข้าน่ะงามที่สุดในวังหลวงนี่แล้ว...”


ดงยองส่ายหน้าไปมาให้แม่สาวอารมณ์ขันนี่ แต่ภายในใจก็ยังกังวนและว้าวุ่นกับในเรื่องของการที่จะต้องถวายงานในค่ำคืนนี้อยู่ และก็มิสามารถหาทางที่จะหยุดได้เลยสักนิด......












ในเวลาที่ดวงจันทร์ทำหน้าที่ส่องแสนแทนดวงอาทิตย์อันสว่างจ้าที่ทำงานมาทั้งวัน ค่ำคืนอันมืดมิด แสงจันทร์ก็ยังสว่างเคียงคู่ดวงดาว แต่หากในเวลานี้ดงยองกลับทั้งกังวนและตื่นเต้นเหลือเกิน...


เขากำลังถูกพาตัวไปยังห้องบรรทมขององค์ชายรัชทายาทเพื่อถวายงาน..โดยคนที่จะนำพาไปก็คือแม่นางที่ดูแลดงยองมาทั้งวัน นางนั้นมีนามว่าฮาริน และนางทำหน้าที่ดูแลหญิงสาวที่ถูกคัดมาเพื่อถวายงานแก่องค์รัชทายาททุกคน แต่หากดงยองนั้นที่เป็นคนแรกกลับเป็นชายเสียอย่างนั้นไป...


ดงยองที่ถูกจับขัดสีฉวีวรรณทั้งวัน แต่งกายในชุดเยี่ยงสตรี ชุดที่ง่ายแก่การที่จะถอด เส้นผมยาวสลวยถูกปล่อยและหวีจนเรียบร้อย ใบหูขาวนั้นมีดอกไม้เล็กๆทัดอยู่ และในวันนี้ดงยองยังถูกฝึกอบรมมารยาทในระหว่างการถวายงาน..แม้จะถูกเฮรินตำหนิติเตียนไปหลายจุด แต่นางก็ยังคงเข้าใจเพราะดงยองเป็นเพียงชาวบ้านหาใช่ชาววังเยี่ยงนาง...


“เข้าไปได้แล้ว อย่าลืมทำตามที่ข้าบอกล่ะ..”


“ขอรับ..”


โดยองจำใจค่อยเปิดประตูเข้าไปด้วยมืออันสั่นๆ ภายในห้องที่ถูกตกแต่งหรูหรา มีสิ่งประดับประดามากมายกว่าห้องคนธรรมดาๆ ทั้งยังกว้างขวาง บอกตามตรงว่าใหญ่กว่าบ้านทั้งหลังของดงยองเสียอีก..


เบื้องหน้าเด็กหนุ่มมีเตียงนอน ที่มีร่างของใครบางคนนั่งอยู่ แต่ที่โดยองเห็นนั้นเป็นเพียงแค่เงา เพราะเนื่องมาจากว่ามีม่านสีแดงปิดรอบๆ เพื่อรอให้ดงยองนั้นเปิดเข้าไป...


ดงยองทำเพียงยื่นนิ่งไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้ แม้จะรู้หน้าที่ว่าตนต้องทำเช่นไรบ้าง แต่ถึงกระนั้น พอเข้าสู่ช่วงเวลาจริงกลับไม่กล้า...


“จะยืนชักช้าอยู่อีกนานหรือไม่เล่า...”


ยิ่งได้ยินสุรเสียงหลังม่าน ยิ่งทำให้กระต่ายป่าตัวน้อยตื่นกลัว ดงยองตัวแข็งทื่อยิ่งไม่กล้าขยับ แต่จู่ๆหัวสมองก็บังคับให้เอ่ยสิ่งที่ไม่อยู่ในข้อควรปฏิบัติของการถวายงานออกไป...


“เหตุใดท่านจึงให้ข้ามาถวายงานด้วยเล่า ข้าเป็นเพียงชาวชาวบ้าน หาใช่หญิงสาวที่ควรจักทำหน้าที่นั้นไม่...”


ถึงแม้จะมีความเสี่ยงสูงที่จะศรีษะหลุดจากบ่า ในการที่จะเอ่ยออกไปเช่นนั้น แต่เพราะความที่อยากรู้และเคลือบแคลง ทำให้ดงยองมีความใจกล้าขึ้นมาที่จะถามออกไป


“หึ...”


ร่างสูงสง่าหลังม่านที่นั่งรออยู่บนเตียงทำเพียงส่งเสียงในลำคอ ในเงามันสะท้อนให้ดงยองเห็นว่าองค์ชายรัชทายาทนั้นกำลังถอดเสื้อออก...


“หากเจ้าอยากได้คำตอบ ก็จงขึ้นมาหาข้าบนเตียงสิ..”


เพราะถึงเช่นไร ก็ต้องทำการถวายงานอยู่แล้วและหาได้มีสิทธิ์จะปฏิเสธ ดงยองใจแข็งเดินเข้าไป ก่อนจะเปิดผ้าม่านออกทันที..


แต่กระต่ายน้อยก็ต้องตกตะลึงยามเห็นพักต์ขององค์ชายรัชทายาทแห่งโครยอเต็มตา..




“ท่าน!!!!!

“ตกใจหรือคนงาม...?”


องค์ชายเอ่ยถามพร้อมแย้มสรวล แต่ดงยองในเพลานี้เหมือนกำลังจะร้องไห้ สิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นนั้นก็เกิดขึ้นมาเสียจนแทบมิอยากเชื่อ นที่มาหาตนตลอดเวลาก่อนหน้านั้นก็คือองค์ชายรัชทายาท...


แล้วสิ่งที่พระองค์กำลังทำมันคือสิ่งใด....


“ท่าน..ฮึก.. พระองค์ทำเช่นกับข้าทำไม?”


ดงยองเอ่ยถามพร้อมน้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นมา องค์ชายรัชทายาทเห็นเช่นนั้นก็รีบโอบร่างบอบบางเข้าสู่อ้อมพาหา เจ้ากระต่ายป่าตัวน้อยร้องไห้สะอึกสะอื้นใหญ่ เสียจนพระองค์นึกสงสาร


“ข้ากลัว..กลัวไปหมด เหตุใดท่านจึงทำเช่นนี้”


“เพราะว่าข้ารักเจ้าอย่างไรเล่า..”


“แล้วท่านโกหกข้าทำไม...”


“ถ้าข้าบอกว่าข้าคือองค์รัชทยาท เจ้าก็คงมิยอมให้ข้าเข้าใกล้แล้วก็คงปลีกตัวหนีข้า ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้าก็กลัวเช่นกันดงยอง ข้าหวังให้เจ้าอยู่เคียงข้างข้า..จึงต้องทำเช่นนี้ และที่ให้เจ้ามาถวายงานเป็นคนแรกของข้า ก็เพื่อจักพิสูจน์ให้เจ้าเห็นอย่างเราเล่า ว่าข้ารักเจ้า รักอย่างหาที่สุดมิได้”



องค์ชายรัชทยาทเอ่ยด้วยสุรเสยงจริงจัง โดยองตัวสั่นในอ้อมพาหาพระองค์ก่อนจะดันตัวออกมา...


“แต่ถึงเยี่ยงไรก็ไม่ถูกอยู่ดี ”


“ทำไม?”



“เพราะข้ามิอาจเคียงข้างท่านได้ ข้าคือชาย ข้ามิสามารถมีทายาทให้แก่ท่าน และที่สำคัญข้าเป็นแค่สามัญชนคนป่า หาได้มีสิ่งใดคู่ควร”


ดงยองกล่าวพร้อมน้ำตา ตอนยังไม่รู้ว่าคือองค์รัชทายาทก็คิดว่าตัวเองมิคู่ควรแล้ว และตอนนี้ยิ่งรู้สึกไม่เหมาะสมเข้าไปใหญ่ เขาไม่คู่ควรที่จะมาเหยียบในตำหนักหลวงแห่งนี้ด้วยซ้ำ


“ข้าหาได้สนใจสิ่งเหล่านั้นไม่... ข้าสนเพียงว่า หัวใจของข้าได้มอบให้กับเจ้าตั้งแต่คราแรกที่พบ และข้ารักเจ้ามาตลอด ทายาทและความสูงส่งนั้นหาใช่สิ่งสำคัญ ได้โปรดเถิดดงยอง โปรดเห็นใจข้าบ้าง...เพราะข้าก็รักเจ้ามากเหลือเกินจักคณา..”



ผู้ที่มีตำแหน่งเป็นถึงองค์ชายรัชทายาท ถึงขั้นยอมอ้อนวอนขอความรักและความเห็นใจจากเด็กหนุ่มชาวบ้านธรรมดาๆ ดงยองยิ่งส่ายหน้าปฏิเสธและร้องไห้หนักเข้าไปใหญ่... พระองค์ทรงโอบกอดร่างบอบบางอีกคราพลางเกลี่ยคราบน้ำตาให้เด็กน้อยที่กำลังกลัว....



“โปรดเชื่อใจข้าเถิด และทุกอย่างนั้นจะดีเป็นแน่ ข้าจะรักเจ้าเพียงผู้เดียว..ดงยอง...”



.............................................................




ในยามเช้ากับอากาศที่มีลมโชย ใบไม้พลิ้วไสวไปตามแรงลม หากเช้านี้อึมครึมไร้ซึ่งแสงแดด ดงยองลืมตาตื่นขึ้นมาเหมือนเรื่องปกติเช่นทุกๆวัน แต่หากวันนี้เขาไม่ได้ตื่นขึ้น ณ ห้องนอนเล็กในบ้านเหมือนวันก่อนๆ หากแต่เขาตื่นขึ้นมาในห้องบรรทมขององค์ชายรัชทายาท...


กายบางยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางดึงผ้าห่มขึ้นมาปกคลุมร่างกายของตนที่ในเวลานี้มิมีเสื้อผ้าสวมอยู่สักชิ้น...เด็กหนุ่มรู้สึกปวดเมื่อยล้าและครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด แต่กระนั้นความรู้สึกที่ว่าอยากตื่นมันก็มากกว่าการที่จะอยากนอนอยู่แบบนั้นต่อไป...


“อื้อ...”     


ลำแขนของคนข้างกายที่ยังคงหลับไหลเอื้อมมาคว้าเอวค่อดพอดีมือลงมานอนกอดราวตุ๊กตา ดงยองเองก็อยากจะดิ้น แต่ก็กลัวว่าจะทำให้องค์ชายรัชทายาทที่นอนกอดตนอยู่นั้นจะตื่นเสียได้...



ดงยองไม่กล้ากระทั่งขยับยิ่งเป็นเช่นนั้นก็ยิ่งถูกกอดรัดแน่นยิ่งขึ้น ใบหน้าขาวแดงระเรื่อ พลางเผลอไปคิดถึงเรื่องราวก่อนหน้านั้น ในยามค่ำคืนที่ผ่านมา....










“โปรดรับรักข้าเถิดนะ... ข้าจะมีเพียงเจ้าผู้เดียว...นะดงยอง”


ดวงพักต์งามเคลื่อนเข้าหาดวงหน้าหวาน แววของเจ้าตากระต่ายป่าตัวน้อยสั่นระริก มือไม้กำแน่น รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก 

แต่หากเพียงเสี้ยววิ... กลีบปากอิ่มถูกทาบทับ ดวงตากลมก็ปิดลงทันที องค์ชายละเลียดฉกชิมความหวานที่ไม่เคยมีผู้ใดล่วงล้ำ... 


แผ่นอกบางพายใต้อาภรณ์กระเพื่อมหอบหายใจ องค์ชายจึงจำต้องละออกมาด้วยความเสียดาย อาจผิดที่พระองค์เองที่เร่งรีบเกินไปทำให้กระต่ายน้อยนั้นตื่นกลัว...



“เจ้ากลัวหรือ...”



เด็กหนุ่มพยักหน้ารับทันที เพราะดงยองไม่เคยสักครั้งสำหรับเรื่องอย่างว่าไม่ว่ากับชายหรือหญิง...และนี่ก็เป็นครั้งแรก.. ดงยองกลัวว่ามันจะเจ็บอย่างที่ใครๆเขาว่ากัน ถึงแม้ที่เคยได้ยินมาจะบอกว่าถ้าทำแล้วมันจะเจ็บก็จริง แต่หากปล่อยตัวปล่อยกายไปเรื่อยๆจะพบพานกับความสุข ..



“ไม่ทำแล้วได้หรือไม่ขอรับ..”



ดงยองช้อนดวงตาอันใสซื่อมองปนขอร้อง อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในคืนนี้เลยก็ยังดี เพราะเขายังไม่ทันได้เตรียมใจตัวเองเลยแม้แต่น้อย พูดง่ายๆก็คือดงยองอยากขอเวลาองค์ชายรัชทายาทเพื่อเตรียมใจบ้าง ได้แต่หวังลึกๆในใจว่าพระองค์จะทรงเห็นใจเขาบ้าง...



“ทำไมหรือ...”



“ข้า...ข้ายังไม่พร้อม ขอเป็นวันอื่นได้หรือไม่..”



“ทำวันไหนก็เหมือนกันแหละคนงาม...”



นาสิกโด่งกดลงข้างแก้มขาวอย่างหลงใหล จริงๆแล้วองค์ชายรัชทายาทก็ทรงเห็นใจโดยอง..คนยังไม่เคยก็เช่นนี้ การที่มีความกังวนนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่หากว่าเนื้อหวานๆใกล้พยัคฆ์หนุ่มแล้วมีหรือจะยอมปล่อย...



“แต่ข้า...อื้อ...”



กลีบปากสวยถูกขโมยฉกชิมความหวานอีกครา กายบางถูกโน้มลงในบนหมอนใบใหญ่ หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวเสียจนเกรงว่าองค์ชายที่อยู่ด้านบนจะได้ยิน.. เสื้อผ้าที่ใส่อยู่นั้นง่ายต่อการถอด จึงหลุดออกไปจากเรือนกายขาวอย่างรวดเร็วจนแทบไม่ทันเตรียมใจ...



ดงยองยิ่งหลับตาแน่นเมื่อตนเองต้องมาเปลือยร่างกายต่อหน้าองค์ชายรัชทายาทผู้สูงศักดิ์..สัมผัสจากฝ่าหัตถ์แนบแก้มใสคนที่นอนหลับตาอยู่แผ่วเบา...



“ลืมตาขึ้นเถิด...เจ้างามถึงเพียงนี้จงอย่าอายเลย...ดงยองอ่า...”



ดวงตากลมค่อยๆลืมขึ้นมาสบดวงเนตรแพรวพราวขององค์รัชทายาทหนุ่ม กระต่ายน้อยเสียทีพยัคฆ์หนุ่มเลือดร้อนเสียแล้ว...



นาสิกโด่งหอมตั้งแต่หน้าผาก มายังแก้มขาว ไล่ลมมาเรื่อยๆจนถคงซอกคอ ดงยองปล่อยให้ผู้สูงศักดิ์กระทำต่อร่างกายตนเอง ลำคอขาวถูกดูดเม้มจนขึ้นรอยแดง แม้จะรู้สึกแปลกๆ แล้วก็ยังคงกลัวอยู่ แต่หน้าที่นั้นคือต้องสมยอม...



“อ๊ะ!..องค์ชาย..”



ยอดถันสีหวานถูกปลายลิ้นร้อนละเลียดชิมทีละข้าง ดงยองตัวน้อยเผลอแอ่นร่างให้องค์ชายรัชทายาทรังแก พร้อมส่งเสียงร้องเมื่อถูกขบกัดและดูดดึง แต่หากก็เต็มไปด้วยความเสียวทีตีตื้นขึ้นมาสู่ร่างกายเช่นกัน...




ดงยองเผลอตัวกับสัมผัสแสนวาบหวามที่ถูกส่งมอบให้ โดยที่ไม่รู้ตัวว่าเรียวขาขาวของตนนั้นถูกแยกออกจากกันโดยองค์รัชทายาทหนุ่ม นาสิกโด่งไล่ลงล่างเรื่อยๆ ทั้งจูบทั้งหอมไปตามร่างขาวด้วยความเสน่ห์หา 



ลิ้นร้อนไล่เลียวนรอบแอ่งกลางหน้าท้องแบนราบเสียจนหนุ่มน้อยต้องหดเกร็งหน้าท้อง...ดงยองบอกไม่ถูกว่าตัวเองนั้นกำลังรู้สึกอะไร แล้วความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นนั้นมันคือสิ่งใดกันแน่ หนุ่มน้อยยังบริสุทธิ์และไม่ประสามากเกินไปกับเรื่องพวกนี้... 


พระพักต์งามเลื่อนมาจนอยู่ที่ว่างขาขาวของดงยอง องค์ชายจับเรียวขาข้างซ้ายตั้งชั่นขึ้น ก่อนจะดูดเม้มในต้นขาด้านใน



พระองค์ทรงละใบหน้าออกมาอีกคราก็จะไล่จูบตั้งแต่ข้อเท้าเล็กมาจนถึงเรียวขา


“อย่า!ท่าน!



ดงยองรู้ดีว่าการกระทำเช่นนี้มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง คนตรงหน้านั้นเป็นถึงว่าที่กษัตริย์องค์ถัดไปของโครยอ แต่เขามันเป็นแค่สามัญชนคนธรรมดา มิได้มีสิ่งใดวิเศษวิโสที่พระองค์ควรจะทำเช่นนี้..


“เจ้านั่นแหละอย่าห้ามข้า...”


องค์ชายรัชทายาทกล่าว ก่อนจะค่อยๆสอดก้านนิ้วยาวเข้าสู่ช่องทางคับแน่นด้านล่าง


“อ๊าาาา!!!...ข้าเจ็บ!!


ดงยองหวีดเสียงร้องทันที ผนังอุ่นตอดรัดนิ้วยาวขององค์ชายแทบจะทันทีและไม่ผ่อนคลายแม้จะเพียงนิ้วเดียว 



“ฮึก..เจ็บ...”


น้ำสีใส่คลอเอ่อดวงตากลมอย่างหน้าสงสาร แต่หากตอนนี้องค์ชายยุนโอก็ไม่ไหวแล้วเช่นกัน ร่างกายสวยงามตรงหน้ายั่วเย้าเสียจนอยากจบสอดใส่แล้วกระแทกให้รู้แล้วรู้รอด แต่ดงยองบริสุทธิ์เกินไปที่จะทำเช่นนั้น องค์ชายต้องการจะทะนุถนอมคนที่พระองค์รักและมอบพระทัยให้ ให้ดีที่สุดเท่าทีจะทำได้


“โปรดอดทนหน่อยคนงาม ข้าสัญญาว่าช้าจะอ่อนโยน”


“อึ่ก...อ๊ะ! อือ...”



นิ้วสองและสามเริ่มเข้ามา ดงยองเริ่มร้องไห้ มันคับแน่นตอดตุบเข้าที่นิ้วทั้งสามจนแทบขยับไม่ได้ เพราะเป็นครั้งแรก ดงยองเกร็งไปหมดทั้งตัว องค์ชายกดจูบที่หน้าผากเนียนแผ่วเบาพร้อมเอ่ยปลอบโยน


“จงผ่อนคลาย...แล้วข้าจักทำให้เจ้ามีความสุข”



ดงยองลองทำตามที่องค์ชายกล่าว ปล่อยให้นิ้วทั้งสามในร่างกายขยับปรับช่องทาง เพียงครู่เดียว ความรู้สึกที่เรียกว่าต้องการก็เข้ามาแทนที่ทันที ดงยองรู้สึกว่าตนเองรู้สึกต้องการมากกว่านิ้ว...ต้องการมากเสียจนลืมความกลัวเจ็บไปเสียชั่วขณะและต้องเป็นฝ่ายร้องเรียกหาเสียงเอง...


“ท่าน...”


“ว่าอย่างไรเล่า...”


“ข้า..ข้า..”


“เจ้าต้องการข้าหรือไม่..”



ดงยองพยักหน้ารับทันทีด้วยความไร้เดียงสา ก่อนจะต้องหลับตาปี๋เมื่อองค์ชายรัชทายาทขยับกายขึ้นครองร่างบอบบางด้านล่าง ก่อนจะจับเรียวขาคู่งามอ้าออก ก่อนที่สิ่งบางอย่างที่ใหญ่กว่านิ้วทั้งสามเมื่อครู่จะถูกดันเข้ามาแทน...



ดงยองร้องลั่นทันที ความร้อนละอุที่ถูกสอดใส่เข้ามามันทำให้หนุ่มน้อยเจ็บปวดราวกับร่างกายนั้นจะแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ มันเจ็บกว่าที่ดงยองได้คิดไว้ในทีแรก เจ็บและแสบสันไปทั้งร่าง


“ฮึก...โปรดเอาออกไป ข้าเจ็บเหลือเกิน..ฮือ...ไม่เอาแล้ว...ได้โปรดเถิด..”



ดงยองร้องไห้เพราะความเจ็บที่ได้รับ พร้อมดันร่างใหญ่ด้านบน พลางเอ่ยขอร้องทั้งน้ำตา องค์ชายรัชทายาททรงนึกสงสาร แต่พระองค์ก็ไม่สามารถอดทนได้แล้วเช่นกัน... ความต้องการที่มีต่อดงยองนี้มันมากมายเหลือเกิน


“อ๊ะ...อ๊า..าาา..”



เสียงหวานร้องครวญครางอย่างมรมาณและไม่สามารถบรรยายได้ ความรู้สึกเจ็บปวดกับครั้งแรกที่มีพร้อมกันกับความสุขสมนี้มันคือสิ่งใด..


ดงยองเผลอตัวโอบกอดร่างแกร่งขององค์ชายไว้แนบแน่น ยิ่งขยับแรงก็ยิ่งรู้สึกซาบซ่าน จนลืมความเจ็บไปแล้วในเวลานี้..



กายสูงใหญ่กระแทกความต้องการเข้าออกในช่องทางรัดแน่นที่เริ่มผ่อนคลายนั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงครวญครางไร้ซึ่งภาษาดังเป็นระยะๆ จากเสียงธรรมดาๆ ก็หวีดสูงขึ้นเมื่อท่อนกายด้านในต้องโดนจุด
กระสัน...


“อ๊า...!!องค์ชาย!! ข้า...อ๊ะ..”



“เรียกข้าว่าท่านพี่...”


ออกคำสั่งต่อร่างบางข้างใต้ร่างในขณะที่ยังขยับกายเข้าออกกับร่างบอบบางนี่อย่างสุขสม พระองค์หวังจักได้ยินสรรพนามที่ฟังดูเราใกล้ชิดกันและไม่ห่างเหินกันอย่างที่เป็นอยู่...



“ทะ...ท่าน..ท่านพี่...ได้โปรดเมตตาข้าด้วย ข้า..อึ่ก..ข้าไม่ไหวแล้ว.อ๊า..งง..”



บทกวีแห่งรักที่ร่ายขับขานเนิ่นนานกำลังจะสิ้นสุดลง องค์ชายรัชทายาทขยับกายแรงรัวก่อนจะกระแทกครั้งสุดท้าย และปลดปล่อยสายธารสวาทเข้าสู่ร่างกายหนุ่มน้อย... และในเวลาเดียวกัน ดงยองเองก็ได้ปลดปล่อยความต้องการของตัวเองเต็มหน้าท้องแกร่งขององค์ชายรัชทายาทเช่นกัน...




ทั้งสองร่างหอบหายใจรวยรินหลังเสร็จกิจกรรมสวาทครั้งแรก.. แต่ดงยองรู้สึกอ่อนเพลียจนต้องเป็นฝ่ายผล็อยหลับไปเสียก่อน...







“ตื่นแล้วเหตุใดจึงไม่ปลุกข้า..”


!!!!


ดงยองที่ยอมนอนให้องค์ชายรัชทายาทกอดอยู่ตั้งนานสองนาน เผลอสะดุ้งขึ้นมาทันที เมื่อสุรเสียงทุ้มนั้นเอ่ยถาม..


“ข้า...ข้ากลัวรบกวนการบรรทมขององค์ชาย”


ดงยองเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา องค์ชายรัชทายาทที่ตื่นจากการหลับนอนหลังเมื่อคืนเสียแรงและพลังงานไปมาก ลุกขึ้นนั่ง ดงยองเองก็เช่นกัน ผ้าห่มถูกดึงขึ้นมาอีกครั้งเพื่อปิดร่องรอยเมื่อคืนนี้ แต่ก็ไม่พ้นเนตรคมขององค์ชายรัชทายาทได้...


“ไม่ว่าจักยามหลับ หรือ ยามเพิ่งตื่น เจ้าก็งดงามมากเลยรู้หรือไม่ ดงยอง..”


องค์ชายกล่าวพร้อมทัดผมลงบนใบหูขาว พระองค์ไม่เคยนึกแปลกใจในตนเองที่รักดงยองได้ถึงเพียงนี้...ดงยองนั้นงดงามทั้งรูปกายและจิตใจ คำว่าศักดินาที่ต่างกันมากขนาดนั้น ไม่ทำให้พระองค์นึกสนใจและเลือกที่จักมองข้ามมันไป..


“ข้า...ถวายงามพระองค์เสร็จแล้ว ข้าจักกลับบ้านไปหรือยังขอรับ..”


ดงยองเอ่ยถามขึ้นมา เด็กหนุ่มหวังที่จะกลับไปอยู่ยังบ้านของตนและใช้ชีวิตปกติเยี่ยงสามัญชนตามเดิมที่เคยเป็น


ดงยองไม่ได้คิดมักใหญ่ใฝ่สูงจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เขารู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าที่นี่นั้นช่างไม่เหมาะกับตนเสียเลย สิ่งที่ไม่ใช่..อย่างไรนั้นก็คือไม่ใช่อยู่ดี เพียงถวายงานเมื่อคืนที่ผ่านมา ดงยองก็กะว่าตื่นมาก็คงจะได้จัดแจงเตรียมตัวกลับบ้านเสียเลย แล้วก็ได้คิดไว้ในหัวว่า หากก่อนกลับบ้านจะขอความเมตตาองค์ชายรัชทายยาทขอพบพี่ชายเสียหน่อยแล้วจึงจะเดินทางกลับไปยังหมู่บ้าน...


องค์ชายรัชทายาทเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ดึงร่างบอบบางเข้าสู่อ้อมพาหา อย่างแนบแน่น ก่อนกล่าวบางสิ่งกับเด็กหนุ่ม...


“สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกลืน หาใช่แค่ครั้งเดียวจบเช่นนางบำเรอในวัง.. เจ้าเป็นมากกว่านั้นดงยอง...เจ้าเป็นเมียของข้า..”


“....”


”เพราะเช่นนั้นเจ้าจักต้องอยู่กับข้าที่นี่ในฐานะนั้นด้วย...”


“แต่ข้า...”      


“หาได้มีคำว่าแต่...หากเจ้าเอ่ยปฏิเสธออกมาข้าจะรังแกเจ้าให้ลุกออกไปเดินเหินไม่ได้เลยเชียว...”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น หนุ่มน้อยก็เบะปากลงเหมือนจะร้องไห้ องค์ชายรัชทายาทใจร้ายเหลือเกิน...


“ท่านทรงใจร้ายนักขอรับองค์ชาย... ข้าก็แค่อยากกลับบ้าน...เหตุใดจึงต้อง..”


“ไม่ต้องกลับไปแล้วอยู่กับข้าที่นี่แหละ แล้วก็อย่าได้กล่าวเรียกข้าว่าองค์ชายอีก”


“???”


“โปรดจนเรียกข้าว่าท่านพี่ เยี่ยงเมื่อคืนที่เจ้าร้องเรียกเมื่ออยู่ใต้ร่างข้า”


“ท่าน!!!!!!






....................................................................



ในวังหลวงนั้นแสนสุขสบายไปทุกอย่างนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ก็มิอาจใช่ที่ที่อยู่แล้วรู้สึกสบายกาย และสบายใจเท่าสถานที่ที่ได้จากมา...


เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนเห็นจะได้ที่ดงยองใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวง ด้วยสถานะที่ฟังดูแลเหมือนจะดูไม่เข้าท่าเสียเท่าไหร่... จะพูดออกมาก็บอกไม่ถูก เขาก็แค่อยู่กับองค์ชายยุนโอฉันท์สามีภรรยาโดยพฤตินัยก็เพียงเท่านั้น...ไม่ได้มีอะไรเป็นทางการ ซึ่งในสิ่งนั้นดงยองก็ไม่ได้หวังอะไรมากอยู่แล้ว...


ในชีวิตประจำวันดงยองในวังหลวง เขาไม่ได้มีข้าราชบริพานคอยรับใช้ ถึงแม้องค์ชายรัชทายาทจะทรงมอบผู้คอยดูแลแต่ดงยองก็ปฏิเสธ เด็กหนุ่มตระหนักตัวเองเสมอ และเตือนตัวเองตลอดว่าตนมาจากทีใด และสิ่งเหล่านั้นมันมากเกินไปสำหรับคนเช่นเขา


ดงยองนั้นอยู่แต่ในตำหนักขององค์ชายรัชทายาท ไม่ได้ออกไปไหนเสียเท่าไหร่ เขาก็แค่ไม่อยากออกไปเจอกับสายตาประหลาดๆของขุนนางชั้นผู้ใหญ่แห่งวังหลวงที่มองเขาราวกับตัวประหลาด พอพบเจออะไรเช่นนั้นบางครั้งก็อยากกลับบ้านเสียจนอยากจะร้องไห้ขึ้นมาเสียดื้อๆ..สุขสบาย แต่อึดอัดเช่นนี้ อยู่อย่างลำบากๆหาเช้ากินค่ำเหมือนเดิมยังจะมีความสุขเสียมากกว่าอยู่อย่างนี้....


“เหตุใดเจ้าจึงดูเศร้าสร้อยเช่นนั้น..?”


สุรเสียงทุ้มเอ่ยถามพลางสวมกอดกายบางจากด้านหลัง หลังเห็นเจ้ากระต่ายน้อยนั่งหน้าอมทุกข์อยู่... นาสิกโด่งกดลงบนข้างแก้มซ้ายขวาอย่างนึกหมั่นเขี้ยว มิน่าเชื่อว่าตอนนี้ดงยองมาใช้ชีวิตอยู่กับพระองค์ในตำหนักได้เกือบเดือนแล้ว...


“ข้าแค่...คิดถึงบ้าน..”


“เจ้าอยากกลับบ้านหรือ ไม่อยากอยู่กับข้าที่นี่หรือไรดงยอง..”


หากถามว่ารักหรือไม่แน่นอนว่ารักพระองค์มากเหลือเกิน แต่กระนั้นดงยองก็ไม่อยากทนความกดดันเหล่านี้เช่นกัน... ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเรื่องทุกอย่างนั้นมันเกิดขึ้นอยู่บนความไม่ถูกต้องมาตั้งแต่ในทีแรก...เรื่องนี้ดงยองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ..และเด็กหนุ่มก็คิดว่าองค์ชายรัชทายาทนั้นก็คงจะรู้อยู่เช่นกัน


“ผู้ใดทำอะไรเจ้าหรือไม่โปรดบอกข้า...”


“หามีไม่...ข้าเพียงแค่...เฮ้อ....”


ดงยองถอนหายใจทิ้งเพราะไม่อยากจะพูดเรื่องเดิมๆต่อ...เพราะยิ่งพูดเขาก็ยิ่งรู้สึกแย่กับตัวเอง ทั้งๆที่องค์ชายทรงรักและเมตตาถึงเพียงนี้ยังจะคิดอะไรแบบนี้ขึ้นมา...


“ข้าเข้าใจเจ้านะว่าเจ้ารู้สึกเช่นไร...แต่ดงยอง..ฟังข้านะ ตราบใดที่เจ้ามีข้า จะไม่มีใครกล้าที่จะทำสิ่งใดกับเจ้า ”


พระหัตถ์แนบข้างแก้มคนงามที่นั่งหน้ากังวนอมทุกข์ สิ่งที่ดงยองเจอ เขาเองก็พอจะเห็น ในบางคราองค์ชายรัชทายาทก็ส่งสายตาปรามๆพวกคนที่ทำให้ดงยองรู้สึกเป็นกังวนใจ เห็นแล้วอยากจับประหารตัดหัวเรียงคนเสียยิ่งนัก.. หากยอดดวงใจของพระองค์นั้นรู้สึกขุ่นมัวกับการถูกกระทำเช่นนั้น เพียงเอ่ยปาก พระองค์ก็พร้อมจะจัดการให้ทุกอย่างอยู่แล้ว...



เพียงแต่เพราะว่า...ดงยองไม่ใช่คนเช่นนั้นอย่างไรเล่า... และสุดท้าย เจ้ากระต่ายน้อยตัวนี้ก็ต้องมานั่งทุกข์ใจเสียเองกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น...



พระพักต์รูปงามวางบนไหล่แคบพลางกดจูบลงไปแผ่วเบา ดงยองมองตามการกระทำขององค์ชายรัชทายาท พลางคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกลับไปมีสีหน้าทุกข์ใจเช่นเดิม



มือเรียวถูกกอบกุมขึ้น องค์ชายรัชทายาทหอมมือเรียวด้วยความรัก...องค์ชายรัชทายาทนั้นไม่อยากแม้แต่จะคิดว่าหากทรงเสียดงยองไปชีวิตพระองค์จะเป็นเช่นไรกัน...  เพราะดงยองนั้นเป็นดั่งดวงพระทัย...หากขาดไปก็เหมือนสิ้นใจเช่นกัน...


“โปรดอยู่เคียงข้างข้าเช่นนี้ต่อไปได้หรือไม่..อย่าได้หนีข้าไปไหนเลย.. ”



กายบางโผเข้าสู่อ้อมพาหาขององค์ชายรัชทายาท เรือนผมนุ่มยาวสลวยถูกพระหัตถ์ลูบเพลินมือ...ดงยองกอดวรกายองค์ชายแนบแน่น ราวกลับว่าในวันพรุ่งนี้จะไม่ได้ทำเช่นนี้อีก...


“ข้ารักท่านนะ...”


องค์ชายรัชทายาททรงพึงพอใจกับสิ่งที่ดงยองกล่าว แม้ไม่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ดงยองพูด แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้องค์ชายยุนโอดีใจอย่างยิ่งทุกครั้ง...


รักของเราทั้งสอง ใครอาจมองว่าเป็นสิ่งที่มิสมควร..แต่หากว่าการที่คนเราจะรักกันแล้วมีสิ่งเหล่านั้นมาเป็นข้อกำหนดความรัก... ถ้าเช่นนั้นมันควรที่จะเรียกความรักว่าความรักแล้วหรือ...









ก๊อกๆๆ


“องค์ชายขอรับ...องค์ราชันย์และพระชายามีรับสั่งให้เข้าเฝ้าในเพลานี้ขอรับ”


เสียงแทอิลเคาะประตูหน้าห้องบรรทมขององค์ชายรัทายาทดังขึ้นเสียจนพระองค์จำต้องปล่อยคนรักในอ้อมแขน....


พระองค์หาได้หยั่งรู้ ว่าเรื่องที่จะต้องพบเจอนั้นคือสิ่งใด แต่สิ่งที่พระองค์จะต้องทำ นั่นคือการหาวิธีทางทุกอย่าง ที่จะขัดขวางและไม่ยอมรับ..หากในสิ่งเหล่านั้นที่กำลังจะไปประสบพบเจอ มันจจะทำให้ตัวพระองค์และคนรักจะต้อพัดพราก....


“ข้าขอไปพบท่านพ่อท่านแม่ก็นะ...แล้วข้าจะรับกับมา”


“ขอรับ....”














กาลเวลาผ่านพ้นไปล่วงเข้าสู่ปีใหม่ ที่องค์ชายรัชทายาทแห่งโครยามมีพระชมมายุครบ 19 ชรรษา... และนั่นหมายความว่าพระองค์นั้นจะต้องเข้ารับการฝึกฝนเรียนรู้ในด้านต่างๆ เพื่อที่จะรับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์องค์ถัดไป


ส่วนหนุ่มน้อยชาบ้านกลางป่า ที่ในเวลานี้มีตำแหน่งเป็นคนสำคัญแห่งองค์ชายรัชทายาท ปีนี้ก็ย่างเข้า18 ปีแล้วเช่นกัน... ดงยองยังคงอยู่ในตำหนักกลับองค์ชายฉันท์สามี ภรรยาโดยพฤตินัยเช่นกัน.. เขาได้มีโอกาสที่จะทำหลายๆอย่าง ทั้งเรียนหนังสืออย่างชนชั้นสูง เพราะองค์ชายรัชทายาทนั้นทรงเห็นว่า การที่โดยองอยู่ในตำหนักเฉยๆ อาจจะเปล่าประโยชน์ ทรงมีพระเมตตาให้โดยองเรียน นับเป็นน้ำพระทัยที่งดงามยิ่ง สำหรับผู้ที่ไม่มีอะไรเช่นเขา...


“ท่านพี่ดงฮยอน!!


นอกจากนี้ ดงยองยังมีโอกาสได้อยู่ใกล้กับพี่ชายมากยิ่งขึ้นอีกต่างหาก.. หลายครั้งที่องค์ชายรัชทายาทไม่อยู่ และว่างเว้นจากการเล่าเรียน ดงยองมักจะมาหาพี่ชายที่ของตนที่สนามฝึกอาวุธของทหาร...


“เหตุใดเจ้าจึงทำตัวเป็นเด็กๆเช่นนี้เล่าดงยอง...”


ดงฮยอนเอ่ยพร้อมลูบเรือนผมนุ่มของน้องชายที่โผเข้ากอดเยี่ยงเด็กเล็กๆ ดงยองนั้นตอนเด็กเคยเป็นเช่นไร โตมาก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่...


“ก็ข้าคิดถึงท่านพี่นี่นา เป็นเพลาเกือบจะเดือนได้เสียกระมังที่ข้ามิได้พบท่านพี่...”


ดงยองเอ่ยพร้อมซุกหน้าเข้าหาอ้อมกอดอบอุ่นอันแสนปลอดภัยของผู้เป็นพี่แล้วอ้อนพี่ชายของตน เหมือนเด็กๆ


“ข้าก็คิดถึงเจ้าเช่นกันดงยอง...”


เพียงไม่นานหลังจากสองพี่น้องผละออกจากกัน ดงฮยอนก็ชวนน้องชายไปนั่งพักยังศาลาที่นั่งประจำหลังพักซ้อมของตน ในวันนี้ดงยองมีอาหารมื้อเที่ยงที่ทำมาให้เขาเหมือนทุกครั้ง พร้อมกับน้ำและขนมจากตำหนักองค์ชายรัชทายาทที่มานั่งกินด้วยกัน...


“ท่านพี่ซ้อมดาบซ้อมธนูเหนื่อยมากหรือไม่..?”


ดงยองเอ่ยถามพี่ชาย ในขณะที่กัดกินขนมในมือเคี้ยวจนแก้มทั้งสองข้างตุ่ย...


“พี่มิเหนื่อยหรอก...แล้วเจ้าเล่า...อยู่รับใช้องค์ชายรัชทายาทเป็นเช่นไรบ้าง..”


“ข้าสบายดีขอรับ จะเป็นห่วงก็แต่ท่านพี่...ยามมีศึกต้องไปออกรับ ข้านี้นอนไม่หลับเอาเสียเลย เป็นห่วงท่านพี่แทบแย่”


ผู้เป็นน้องกล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอันจริงจัง เสียจนผู้เป็นพี่อดที่จะหลุดขำเป็นมิได้


“ท่านพี่ขำข้ารึ?”


“ก็ขำน่ะสิ ดูเจ้าทำหน้าเข้า ไม่ต้องห่วงพี่หรอก เจ้าจงดูแลตนเองให้ดีเสียเถิด”


“ท่านพี่! ข้าเคืองแล้ว เหตุใดจึงมิเห็นความเป็นห่วงจากข้า”


“หาใช่ไม่... ข้าเห็นสิ่งนั้นตลอด เพียงแค่หน้าเจ้าเมื่อครู่นี้มัน ฮ่าๆๆๆๆ”


“ย่าห์!!! ท่านพี่ดงฮยอน!!!











มื้อเที่ยงระหว่างพักซ้อมของสองพี่น้องนั้นช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก... ดงยองจำเป็นต้องเก็บข้าวของแล้วเตรียมตัวที่จะกลับเข้าไปยังตำหนักขององค์ชายรัชทายาท...


แต่แล้ว....


“เดี๋ยวก่อนดงยอง!!!


“มีเหตุอันใดหรือเจ้าพี่?”


ดงยองหันกลับมาเอ่ยถามหลังเสียงของผู้พี่นั้นได้เอ่ยรั้งเอาไว้เสียก่อนที่จะเดินกลับ...


“พี่ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเจ้ารู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง...หากแต่ว่า.พี่คิดว่าพี่ควรที่จักบอกเจ้า”


“เรื่องอันใดหรือ..”


“เจ้ารู้ตัวใช่หรือไม่ว่าตัวเองมาอยู่ในวังในฐานะใด?”


รู้สิ...ดงยองรู้เสมอ...แม้องค์ชายรัชทายาทจะกล่าวเรียกดงยองว่าเป็นภรรยา...แต่หากความเป็นจริง..เช่นไรก็คือความเป็นจริงอยู่วันยังค่ำ.. คนเรานั้นไม่สามารถหนีความจริงบนโลกใบนี้ได้พ้นหรอก...


“ข้ารู้ตัวข้าดี..”


“เช่นนั้นก็ดีแล้วน้องรัก...พี่ไม่ได้จักพูดให้เจ้ารู้สึกแย่กับในสิ่งที่เจ้านั้นเป็นอยู่หรอก... แต่ว่า..เพียงอีกไม่นานนี้..องค์ชายรัชทายาทนั้นจะต้องทรงหมั้นและผูกดวงชะตาคู่กับองค์หญิงแห่งนครชิลลา...”


สิ่งที่ดงฮยอนผู้เป็นพี่ได้กล่าวขึ้นมานั้นมันเป็นเรื่องที่ลือเล่ากันไปทั่ววังหลวง...เมื่อได้ฟังเรื่องราวเช่นนั้นทำให้ผู้ฟังอย่างดงยองรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าลงมากลางดวงใจ.. เด็กหนุ่มมิได้เตรียมใจไว้รอรับเรื่องนี้...จะโทษว่าเรื่องเกิดขึ้นเร็วไปก็คงจะไม่ถูก เพราะนี่...มันเป็นเรื่องที่สมควรจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว...


“แล้วถ้าหากวันนั้นมาถึง..แล้วเจ้าจักทำเช่นไรเล่าน้องรักของพี่...”


น้ำสีใสคลอเอ่อล้นดวงตาคู่สวย... ดงยองนิ่งไปในทันที..เด็กหนุ่มรู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาเสียดื้อๆ แต่มันก็รู้สึกจุกในอกอย่างพูดไม่ออกและบอกไม่ถูก...


“ข้า...ข้าไม่รู้...”


ดงยองกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ผู้เป็นพี่เห็นเช่นนั้นจึงได้ดึงร่างบอบบางของน้องชายเข้าสู่อ้อมกอด..


“ฮึก..ฮือ..”


“อย่าร้องเลย...คิดเสียว่าวาสนาระหว่างเจ้ากับองค์ชายมันมีแค่นี้...แล้วเจ้าก็จงยินดี กับสิ่งที่คู่ควรกับองค์ชายและองค์ชายได้รับสิ่งๆนั้น..ตามที่...มันควรจะเป็น”


ดงฮยอนรู้สึกสงสารน้องชายเหลือเกิน เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายจิตใจของดงยองเสียหรอก... แต่ถ้าหากว่าปล่อยไว้นานๆไปมากกว่านี้มันก็จะยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดให้น้องชายยิ่งเท่าทวีคูณ


ดงฮยอนก็คิดเอาไว้แล้วว่าดงยองคงจะยังไม่รู้เรื่องนี้เป็นแน่..วันๆได้ออกไปที่ใดที่ไหนกัน ก็ในเมื่องดงยองอยู่แต่ในตำหนักขององค์ชายรัชทายาท...


“ข้า..รักองค์ชาย..ข้ารักองค์ชายเหลือเกิท่านพี่... แต่..ฮึก..ข้าก็เจ็บปวดมากเช่นกัน..”


“การจักเปลี่ยนแปลงความเจ็บปวดให้เป็นความสุข มันอาจจะยากเสียหน่อย แต่ถ้าเจ้าทำได้ มันจะดีกับเจ้าเองนั่นแหละ..”


“แล้วข้าควรทำเช่นไร..ท่านพี่จงบอกข้ามาเถิด”


ดงยองเอ่ยถามทั้งน้ำตา ถึงในเวลานี้ความรู้สึกของเด็กหนุ่มจะยังไม่ค่อยพร้อม แต่หากมันจะมีวิธีดังผู้พี่ว่า...ดงยองก็จะยอมทำ...


“เจ้าก็จงยินดีปรีดา ในเรื่องขององค์ชาย..แล้วคิดเสียว่าการเห็นคนที่รักมีความสุขก็จะทำให้เจ้ามีความสุข..เจ้าจะทำได้หรือไม่น้องพี่?”


“ข้า..ไม่รู้หรอก.. แต่ข้าก็จักพยายามทำให้ได้”


แม้สิ่งที่ดงฮยอนกล่าวจะฟังดูอยากเหลือเกิน แต่ผลลัพธุ์มันจะต้องช่วยให้ดงยองหลุดพ้นต่อความเจ็บปวดได้บ้างก็คงดีไม่น้อย...













ในช่วงยามมืดค่ำ องค์ชายยุนโอยังมิทรงเสด็จกลับตำหนัก...เพราะการฝึกฝนเพื่อที่จะได้เป็นกษัตริย์แห่งโครยอ ไม่ได้ง่ายดาย...ยิ่งนับวันยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ องค์ชายจะต้องทนฝึกฝนเพื่อที่จะเป็นกษัตริย์ที่ดีและเข้มแข็งคนต่อไปของประชากรโครยอ....


“กระต่ายน้อยของข้าอยู่ที่ใดกันหนา...”


เสียงองค์ชายรัชทายาทที่เพิ่งกลับมาเอ่ยดังขึ้นมาตั้งแต่หน้าตำหนัก...ทำเอาดงยองที่นั่งอยู่บนเตียงในห้องบรรทมกว้าง จำต้องใช้ฝ่ามือเช็ดน้ำตาของตนออกลวกๆ ก่อนที่พระองค์นั้นจะทรงเห็นมัน....


“ที่แท้เจ้าก็อยู่ที่นี่นี่เอง...”


องค์ชายรัชทายาทเสด็จเดินตามหาเจ้ากระต่ายป่าเสียรอบตำหนัก ที่แท้ก็อยู่ในห้องบรรทม


“ทรงเสด็จกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันขอรับ..ท่าน...เอ่อ..องค์ชาย..”


ดงยองเอ่ยเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกแทนพระองค์ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา... พร้อมก้มหน้าก้มตามมองพื้นด้านล่าง...


เด็กหนุ่มก็ไม่เข้าใจในตัวเองว่าเพราะเหตุใดถึงต้องทำเช่นนั้น แต่เพียงแค่คิดถึงในวันข้างว่าจะไม่ได้มีสิทธิ์แม้กระทั่งอยู่ใกล้ผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า เด็กหนุ่มก็แทบจะร้องไห้แล้ว...นี่ก็แค่เป็นการเตรียมตัวและเตรียมใจให้พร้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า...ก็เพียงเท่านั้นเอง...


“ข้าเพิ่งกลับมาถึงเมื่อครู่นี้นี่เอง... ช่างเหนื่อยเสียเหลือเกิน.. ดงยองอ่า..ข้าอยากจะให้เจ้านั้นอาบน้ำด้วยกันกับข้าช่วยนวดให้ข้าเสียหน่อย”


องค์ชายเอ่ยพร้อมแย้มพระสรวล  ก่อนจะกอบกุมมือเรียวของอย่างเชื้อเชิญ..


“ข้าอาบน้ำตั้งแต่องค์ชายยังไม่กลับแล้วขอรับ แต่ถ้าหากประสงค์จะให้ข้าช่วยนวดให้ก็ได้นะขอรับ”


ดงยองเอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ แม้ว่าองค์ชายรัชทายาทจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดสรรพนามที่ดงยองเรียกจึงผิดแปลกไป..แต่กระนั้นพระองค์ก็ไม่ได้ว่าอะไร....


“เช่นนั้นก็ไปอาบน้ำกันเถอะ...”











ผ้าใยผืนนุ่มชุบน้ำค่อยๆซับไปตามแผ่นหลังกว้างขององค์ชายรัชทายาทอย่างบรรจง มือเรียวบีบนวดตั้งแต่ไหล่ด้ายบนลงมาเรื่อยๆ ขององค์ชายที่ยืนหันหลังให้ในตอนนี้ เพื่อคล้ายความเมื่อยล้ากับความเหนื่อยที่สั่งสมมาแทบทั้งวง


ดวงเนตรคมปิดสนิทหลับพริ้มรับแรงบีบนวดที่ช่วยให้สบายกายขึ้นมาก.. การอาบน้ำกับดงยองนี่มันช่างสบายเช่นนี้เสียนี่เอง...


“ดงยองอ่า...แรงขึ้นอีกสักนิด..”


“ประมาณนี้พอหรือไม่ขอรับองค์ชาย...”


คิ้วเข้มขมวดมุ่นยามได้ยินสรรพนามที่ดงยองใช้นั้นฟังดูห่างเหินเสียจริง.. ทีแรกก็เฉยๆ พอหลายครั้งเข้าก็ทรงเริ่มขุ่นมัวพระทัยเสียแล้ว


“ดูเหมือนเจ้าจะลืมไปนะดงยอง ว่าควรเรียกข้าว่าเช่นไร...”


ดงยองไม่เคยลืมเสียสักหน่อย... แต่มันก็แค่.. ตั้งฝึกไว้เพื่อความเคยชินในวันข้างหน้าก็เท่านั้น.. ในวันที่ไม่มีสิทธิ์จะได้รับโอกาสที่จะทำเช่นนี้..ดังเช่นวันนี้...


“เปล่านี่ขอรับ...”


เด็กหนุ่มเอ่ยตอบกลับด้วยเสียงอันแผ่วเบา..ก่อนจะวักน้ำในบ่อลงบนแผ่นหลังกว้าง..


“แน่ใจหรือ..เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า เหตุใดจึงดูแปลกๆไป”


“เปล่าขอรับองค์ชาย..”


ในที่สุดองค์ชายรัชทายาทก็ทรงหมดสิ้นในความอันทน ร่างหนาหันกลับมามองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังและกำลังปรนนิบัติตามหน้าที่ของตนอยู่ คางมนถูกเชยขึ้นมา แต่โดยองนั้นกลับหลบดวงตาองค์ชายรัชทายาททันที....


“อย่าโกหกข้านะ..”


“มะ..ไม่อะไรจริงๆขอรับ...”


“แล้วดวงตาที่บวมช้ำและแดงของเจ้านี่เล่า...คือสิ่งใด”


เมื่อถูกกล่าวจี้จุด น้ำตาที่พยายามกลั้นมาตลอด ก็ตีตื้นขึ้นมาทันที  กระนั้นดงยองก็ยังไม่ยอมสบเนตรกับองค์ชายตรงหน้า


องค์ชายใช้นิ้วโป้งค่อยๆเกลี่ยน้ำตาออกให้อย่างนุ่มนวลและแผ่วเบา ดงยองเงยหน้ามองสบตาพระองค์อีกครา...


“ข้ารักองค์ชายนะขอรับ...ข้าจะอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว..หากมีสิ่งใด ก็โปรดอย่าได้ห่วงข้า..”


“ข้าไม่เข้าใจ เจ้าพูดถึงสิ่งใดอยู่...?”


“จะให้ข้านวดต่อหรือไม่ขอรับ ทรงปวดเมื่อยที่จุดใดโปรดบอกข้า..”


“ดงยอง!!



องค์ชายเอ่ยเสียงดังเมื่ออีกคนจู่ๆก็เปลี่ยนเรื่องจนพระองค์แทบจะตามไม่ทัน ตอนนี้ดงยองทำให้พระองค์นั้น ทั้งไม่เข้าใจและขัดใจในสิ่งที่เจ้าตัวกำลังทำเป็นอย่างยิ่ง กายบางเมื่อถูกดุก็สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะพยายามตั้งสติให้กลับมาเป็นดังเดิม...


“ข้า...ข้าเกรงว่าตัวเองจะเป็นหวัด ข้าขอขึ้นฝั่งก่อนนะขอรับ แล้วข้าจักไปตามนางกำนัลมาปรนนิบัติองค์ชาย ดะ..ได้โปรดช่วยรอสักครู่ขอรับ”



ดงยองคว้าผ้าคุมผืนใหญ่มาพันกาย ก่อนจะก้าวขึ้นไปบนบ่อน้ำ ทิ้งองค์ชายรัชทายาทไว้เช่นนั้น.. กับความไม่เข้าใจที่พระองค์ยังคงรู้สึกค้างคา

















1 สัปดาห์ผ่านไป....


“ท่านพี่..ท่านพี่ดงฮยอน...”


“ดงยอง!นี่เจ้า!


“ชู่ว....”


ในค่ำคืนกลางดึกสงัดในค่ำคืนนี้ ดงยองลอบมาหาพี่ชายด้านหลังพระราชวัง ซึ่งในคืนนี้พี่ชายของเขาได้รับหน้าที่เฝ้าเวรยามกับเพื่อนทหารกลุ่มเดียวกัน....เด็กหนุ่มแต่งกายมิดชิดคล้ายคนที่เป็นผู้ดูแลความสะอาดของตำหนักองค์ชายรัชทายาท พร้อมเอาผ้าคลุมหน้าเสียเรียบร้อย เพื่อบดบังเหล่าทหารคนอื่นๆ


“เจ้ามาทำอะไรที่นี่...”


“ข้ามาหาท่านพี่นั่นแหละ...”


“มาหาพี่หรือ? แล้วองค์รัชทายาทเล่า มิทรงทราบหรือไงว่าเจ้ามา”


“องค์ชายทรงบรรทมแล้วข้าจึงมา...”


“เจ้านี่มันจริงๆเลยนะ... ถ้าหากพระองค์ตื่นมามิพบเจ้าจักทำเช่นไร มีอะไรจงรีบบอกพี่ จักได้รีบกลับตำหนัก...”


ดงฮยอนเอ่นตำหนิน้องชายของตน เขาเกรงว่าหาองค์ชายรัชทายาทนั้นตื่นมาแล้วไม่พบน้องชายจะทรงกริ้วจนเดือดร้อนกันทั้งพี่ทั้งน้องได้...


"ท่านพี่...ข้ามิอาจอยู่ทนบนความอึดอัดนี้ได้...เรื่อง..ระหว่างข้ากับองค์ชาย..ข้าคิดว่า..ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ข้านั้นควรจะกลับไปอยู่ในที่ของข้า..."


“นี่เจ้าหมายถึง...เจ้าจะกลับหมู่บ้านหรือดงยอง..”


“ขอรับ...ข้าคิดว่าข้าควรใช้ชีวิตในแบบของข้า...และก็ออกจากชีวิตขององค์ชายได้แล้ว...ถึงอย่างไร..เรื่องของข้าและองค์ชายก็มิสมควรเกิดขึ้นแต่แรก”


เวลาที่ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์เต็มนั้นทำให้ดงยองเข้มแข็งขึ้นมาบ้าง..อย่างน้อยเด็กหนุ่มก็ไม่ร้องไห้ง่ายๆแล้ว ถึงแม้ในใจจะรู้สึกโศกเศร้ามากแค่ไหนก็ตาม...


“โถ่...น้องพี่..แล้วเจ้าบอกองคายหรือยัง”


“หากบอกไป พระองค์ต้องทรงมิยอมแน่ๆ เพราะเช่นนี้ข้าถึงได้มาขอความช่วยเหลือท่านพี่อย่างไรเหล่า...”


“แล้วเจ้าจะให้พี่ช่วยเช่นไร...”














“เหตุใดเล่าจึงไม่พบ! เพียงแค่คนๆเดียวพวกเจ้าก็ตามหาไม่ได้หรือไร..!!


ตอนนี้ตำหนักแห่งองค์ชายรัชทายาทเหมือนกำลังจะมีเรื่องเกิดขึ้นเสียแล้วสิ...องค์ชายนั้นทรงกริ้ว เสียจนทำเอาเหล่าข้าราชบริพานในตำหนักหวาดกลัวไปหมด...


“เจอหรือไม่แทอิล!


“ไม่ขอรับ...ข้าได้ไปถามพวกนางกำนัลแล้ว ต่างก็บอกว่าไม่พบดงยองตั้งแต่เช้า...”


“โถ่เอ๊ย!!


เพล้ง!!!!!!’


ถ้วยที่ตั้งอยู่ถูกปัดลงพื้นจนตกแตกกระจาย...องค์ชายรัชทายาทในเพลานี้นั้นมีแต่ความอารมณ์ร้อน...ตั้งแต่กลับมาไม่พบดงยอง ให้ทหาร หรือนางกำนัลนั้นก็ไม่มีผู้ใดเห็น....



มันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่....พระองค์มิอาจเข้าใจ ดงยองที่ดูแปลกไปตั้งแต่เมื่อหลายวันที่ผ่านมา แถมยังมาหายตัวไปในเวลานี้อีก...


“พระองค์ ข้านึกออกแล้วขอรับ!!













“ดงยอง..เจ้าไม่คิดว่าในตอนนี้ตำหนักองค์ชายรัชทายาทจักไม่วุ่นวายบ้างหรือไร..”


ดงฮยอนเอ่ยถามคนน้องหลังจากที่พากลับมายังบ้าน...บ้านหลังเล็กๆที่เขาและน้องชายนั้นอยู่อาศัยมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก...


“ข้าก็มิอาจหยั่งรู้ได้หรอกท่านพี่...”


ดงยองกล่าวพร้อมพับผ้าจัดที่หลับที่นอน ก่อนจะเดินออกไปข้างนอกสูดอากาศยามเย็นเสียหน่อย...


ดวงตะวันคล้อยกำลังจะลับขอบฟ้า...จนทั่วท้องนภาเป็นสีอมส้ม.. ที่นี่ยังคงสวยงามและสงบนิ่งเหมือนเดิม...


วันทั้งวันหลังจากที่กลับมาถึงในช่วงสายๆ ดงยองทำความสะอาดบ้านเพื่อที่จะใช้มันเป็นที่อยู่อาศัยอีกครา... เด็กหนุ่มเหนื่อยล้าง่ายขึ้น เพราะไม่ได้ทำงานมาเสียนานแรมปี แต่กระนั้นก็ผ่านมาได้ด้วยดี...


ตอนที่กลับมาเหล่าชาวบ้านต่างก็พากันตกใจฮือฮากับการกลับมาของดงยอง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ละลาบละล้วงเขากันนัก...


“แต่พี่ว่าเจ้าก็น่าจะบอกพระองค์ เพราะพระองค์ก็ เอ่อ...รักและปรารถนาในตัวเจ้า...มิใช่หรือ?จู่ๆหนีมาไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้มัน..”


“ข้าทราบดีท่านพี่ แต่ในความรักที่อยู่บนความไม่ถูกต้อง มันไม่มีอะไรที่ดีหรอก...ถึงเพราะองค์จะ..รักข้าและต้องการข้า แต่ถึงอย่างไรก็...”


ไม่ถูกต้องและไม่คู่ควร....


ดงยองเอ่ยในใจ เพราะไม่อยากจะเอ่ยอะไรให้รู้สึกเศร้าโศกเสียใจไปมากกว่านี้... แล้วเลือกที่จะหยุดพูดไปเสียดื้อๆ แต่แล้ว...



“ก็อะไรหรือ???”







.......................................................



สุรเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นขัดบทสนทนาสองพี่น้องทั้งยังสร้างความตกใจให้ไม่น้อย ร่างสูงสง่าขององค์ชายรัชทายาทแห่งโครยอที่ก้าวเข้ามาในบ้านทำให้ดงยองยืนนิ่งเพราะทำตัวไม่ถูก พระพักต์ขององค์ชายยุนนั้นเรียบนิ่งเสียจนน่าใจหายไม่น้อย...


“ว่าไงเล่า เหตุใดเจ้าจึงไม่ตอบดงยอง...”


ดงฮยอนแตะบ่าน้องชายเบาๆ ก่อนถูกเนตรคมตวัดหันมามอง ก่อนจะถูกเอ่ยสั่งด้วยคำพูดที่ใช้สุรเสียงเรียบนิ่ง...


“ออกไป...”


แน่นอนนี่คงไม่ใช่คำสั่งที่ใช้สั่งน้องชาย...ดงฮยอนจำต้องก้าวออกไปนอกบ้าน ซึ่งมีทหารผู้ติดตามขององค์ชายรัชทายาทเฝ้าอยู่เกือบ10คนเห็นจะได้ เขาจำต้องปล่อยให้สามี ภรรยาตามพฤตินัยนั้นอยู่พูดคุยกันสองต่อสองตามความประสงค์องค์ชาย...


“หากพระองค์ต้องการจะลงโทษ ก็ขอให้จงลงที่ข้าผู้เดียว พี่ชายข้าหาได้เกี่ยว”


ดงยองเอ่ยขึ้นมาทั้งที่ดวงตาไม่แม้แต่จะสบพระเนตรขององค์ชายที่ยืนตรงหน้าเสียเลยด้วยซ้ำ...นั่นยิ่งทำให้อารมณ์ขององค์ชายที่พร้อมปะทุอยู่แล้วเพิ่มขึ้นมาเสียอีก...



“ข้าก็ยังไม่ได้เอ่ยว่าจะให้ทำโทษผู้ใดนี่ ตอบข้ามาสิดงยอง..เหตุผลของเจ้าที่หนีมานั้นมันคือสิ่งใด..”


“พระองค์เองก็ทรงรู้อยู่แกใจนี่.. เหตุใดจึงถามข้า..”


ใบหน้าหวานผินหลบหนีเพราะมิอาจทนสู้หน้าต่อผู้สูงศักดิ์ได้ เด็กหนุ่มเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ ยิ่งเอ่ยถึงก็ยิ่งเหมือนซ้ำเติมแผลที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสในหัวใจ...


“เรื่องการที่ข้าต้องหมั้นใช่หรือไม่...”


ดงยองเริ่มทนไม่ไหว น้ำตาที่ตีตื้นขึ้นมามันพร้อมไหลตลอดเวลา..อีกทั้งในเวลานี้ก็ยังไม่พร้อมสำหรับสิ่งใดทั้งสิ้น..โดยเฉพาะกับการที่ต้องสู้หน้าองค์ชายรัชทายาท..


“ดงยอง....”


องค์ชายยุนโอคว้ามือเรียวพร้อมดึงร่างเจ้ากระต่ายน้อยของพระองค์เข้ามากอด...

“ฮึก...”


สุดท้ายสิ่งที่อดทนอดกลั้นไม่ให้แสดงออกมา ก็ถึงจุดที่ทนไม่ไหว ดงยองปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา องค์ชายเกลี่ยน้ำตาบนใบหน้างามนั้นให้... ดงยองช้อนตามองพระองค์ด้วยความเจ็บปวด...



“เจ้าอาจจะมองว่าข้ากำลังเห็นแก่ตัวที่จะรั้งเจ้าเอาไว้..แล้วเจ้าก็อาจจะเจ็บปวดในที่สิ่งที่ใครก็บอกว่ามันจจะเกิดขึ้น แต่เจ้าโปรดเชื่อใจข้าได้หรือไม่...ว่าการหมั้นนั่น จักไม่มีทางเกิดขึ้น”


องค์ชายรวบโอบร่างเด็กหนุ่มเข้ามากอดแนบแน่นแต่หากเป็นการกอดจากด้านหลัง พระหัตถ์สอดผสานมือเรียว องค์รัชทยาทต้องการสร้างความเชื่อใจให้ดงยอง...


“อย่าทรงฝืนเลยขอรับ...สิ่งใดที่สมควรเป็นก็ควรปล่อยให้มันเป็นไป ส่วนสิ่งใดที่มิสมควรเช่นเรื่องท่านกับข้า ก็ควรจักหยุดเพียงเท่านี้..”


“เหตุใดเจ้าจึงทำร้ายหัวใจของข้าเช่นนี้! ข้ามิได้ต้องการกับชีวิตที่ต้องถูกกำหนดตัวข้า...สิ่งที่ข้าต้องการก็คือเจ้า...หากการที่ข้าคือองค์ชายรัชทายาท มันทำให้ข้ามิได้รักเจ้า มิได้มีเจ้าอยู่เคียงกาย... ข้าก็ขอไม่เป็นเสียยังดีเสียกว่า...”


องค์ชายกล่าวพร้อมน้ำพระเนตร พระองค์มิสามารถขาดดงยองได้จริงๆ  หากจักต้องมีผู้ใดมาพรากดงยองไป..ก็เหมือนถูกพรากดวงใจออกจากอก...


“เรื่องของท่านและข้ามิสมควรเกิดขึ้นแต่เริ่ม”


“เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนั้น เจ้าพูดเหมือนไม่รักข้าเลยสักนิดกับเรื่องของเราสองคนตลอดเวลาที่ผ่านมา...”


องค์ชายตัดพ้อ....ใช่เวลามิเข้าใจในสิ่งที่ดงยองกำลังรู้สึกในเวลานี้ แต่บางครั้ง..บางสิ่งบางอย่างมันก็เปราะบางและยากที่จะพูด สำหรับพระองค์..ความรักไม่มีถูกไม่มีผิด และยศถาบรรดาศักดิ์มิใช่ข้อกำหนดของความรัก.... หัวใจต่างหาก...หัวใจที่เป็นสิ่งกำหนดความรัก...


“หากเจ้าต้องการสถานะที่มั่นคงในการเคียงข้างข้าโปรดบอก...ข้าจะทำทุกอย่าง แต่ข้าขอเพียงอย่างเดียว อย่าทำร้ายหัวใจข้าเช่นนี้เลย...ดงยอง”


ยอมทุกอย่างแล้วจริงๆ  หากดงยองจะขอมากกว่านั้น องค์ชายรัชทายาทจะทรงทำตามทุกอย่าง อยากได้อะไรก็จะหามาให้ ขอเพียงแค่อย่าทิ้งกันไปไหน....



“ไม่มีประโยชน์หรอกขอรับ...ถึงพระองค์จะทรงพอใจในตัวข้า แล้วองค์ราชันย์และพระชายาเล่า...ไหนจะเหล่าขุนนางเจ้านายในวังจะเห็นด้วยหรือ...อีกทั้งราษฎรมากมายแห่งโครยออีก... ยอมรับเถอะขอรับ...ข้ามีวาสนาไม่ถึงพระองค์จริงๆ.. ข้าก็เป็นได้เพียงนี้...”


“แล้วข้าต้องทำเช่นไรเล่า...ข้าต้องทำเช่นไรดงยอง..”


“ทำในสิ่งที่องค์ชายควรทำขอรับ..ส่วนข้า..ข้าจะอยู่ตรงนี้...อยู่ในที่ๆข้าควรอยู่ ข้อจะคอยมองดูพระองค์ และจักรักพระองค์ผู้เดียวตลอดไป...ตราบจนสิ้นลมหายใจของข้า...”


น้ำตาไหลอาบใบหน้าหวาน ตา จมูกของดงยองแดงไปหมดอย่างน่าสงสาร....ในชีวิตของดงยองมีทางเลือกไม่มากเขารู้ดี...แต่การทำเช่นนี้ก็เป็นทางออกทีดีที่สุด...สำหรับเราสองคน...


“โถ่...ยอดดวงใจของข้า...”


องค์ชายรัชทายาทรั้งร่างคนรักเข้าสู่อ้อมพาหา..โอบกอดอย่างหวงแหนราวกับว่ากลัวร่างน้อยในอ้อมแขนจะหายไป...


“ข้ารักท่าน... แต่ความรักที่ข้ามี ข้ามีสิทธิ์เพียงเท่านี้... แค่นี้ก็นับว่าเป็นบุญต่อข้ามากแล้ว...”


“ถึงเจ้าจะพูดเช่นนั้น ข้าก็จักพยายาม...พยายามให้มากขึ้น เพื่อที่จะทำให้เจ้ามาอยู่เคียงข้างข้า..ในฐานะที่เจ้านั้นสมควรได้รับดงยอง..”


“ถ้าหากพระองค์ทำเช่นนั้นได้ ถึงเวลานั้นข้าก็จะไม่ปฏิเสธ...ข้าจะรอพระองค์อยู่ตรงนี้เสมอ....”


“เจ้าสัญญากับข้าแล้วอย่าผิดคำพูดเล่า...”


คิดจะทำการใหญ่แน่นนอนว่าต้องใช้เวลามาก...แน่นอนความประสงค์แห่งองค์ชายรัชทายาทมิมีผู้ใดขัดได้ หากไม่ได้พระองค์ก็คงต้องหาทางทำให้ได้ตามความประสงค์อยู่ดี....















การอดทนเพื่อรอคอยวันที่จะมาถึงนั้นช่างเต็มไปด้วยความทรมาน และจะยิ่งทรมานหัวใจยิ่งขึ้นกับชีวิตที่ห่างไกลจากหัวใจ...


ผ่านไปนานเกือบเดือน...ห้องบรรทมแสนอ้างว้างยามไร้เงาเจ้ากระต่ายป่าตัวน้อย เตียงกว้างที่เคยเปรียบเสมือนรังรักนั้นบัดนี้ทิ้งกายลงนอนแล้วช่างไร้ซึ่งความสุข...


“ดงยอง...ข้าคิดถึงเจ้า..คิดถึงเหลือเกิน..”


ใบหน้าคมงามที่เคยนอนกกกอดทุกคืนยังคงอยู่ในหัวสมอง...ระยะทางที่ห่างไกลนี้ก็ยังไม่มากเท่าความคะนึงหา....






“สิ่งใดหรือขอรับ...?”


“ปิ่นปักผมอย่างไรเล่า ข้าให้เจ้า...ดงยอง”


ปิ่นปักผมงดงามถูกวางลงบนมือเด็กหนุ่ม..มันสวยงามและเลอค่านัก..มีอัญญมณีประดับประดาอีกด้วย ของสวยงามก็ต้องเหมาะกับคนที่งดงามอยู่แล้ว


แต่เจ้ากระต่ายน้อยกลับส่ายหน้าก่อนจะส่งของกำนัลเอาใจเล็กๆน้อยๆคืนให้องค์ชายรัชทายาทหนุ่ม...


“ข้ามิใช่พวกผู้หญิงเสียหน่อยองค์ชาย”


“เจ้าก็ดูมิเหมือนนี่...แต่หากเจ้างามกว่าพวกนางมากเลย เจ้าเป็นนางฟ้านางสวรรค์หรือไม่..หืม?”










ยามร่วมเรียงเคียงหมอน เอ่ยหยอกล้อคลอเคลียกันไม่เคยห่างนับเป็นช่วงเวลาที่แสนงดงามยิ่งนัก... ในเวลานี้หน้าที่ขององค์ชายรัชทายาทคือหาทางทำทุกอย่างเพื่อให้ดวงใจของพระองค์ กลับมาอยู่เคียงข้างพระองค์ดังทีควรเป็น...


“องค์ชายขอรับ...”


พี่เลี้ยงผู้ติดตามพ่วงตำแหน่งสหายคนสนิทนั่งลงคุกเข่าข้างตั่งบรรทมแห่งองค์ชายพร้อมก้มหน้าก้มตา 


“มีเหตุอันใดหรือแทอิล เจ้าจึงมาหาข้าเสียยามดึกดื่นเช่นนี้...”


แทอิลลอบถอนลมหายใจแผ่วเบา หากเรื่องที่กำลังจะกล่าวออกไปจะทำให้องค์ชายรัชทายาททรงกริ้วขึ้นมาหรือไม่...การเกิดเป็นมุนแทอิลนี้แสนยากลำบากเสียจริงๆ...

“คือ...พระองค์ทรงทราบหรือไม่ขอรับ...ว่าในอีกห้าวันข้างหน้าจักพระองค์จะต้องทรงเข้าพิธีหมั้นและผูกดวงชะตากับองค์หญิงเยริมแห่งชิลลา...”


น่าแปลก...ที่หลังจากแทอิลได้ตัดสินใจรวบรวมความกล้าและเอ่ยทุกสิ่งอย่างออกไป  องค์ชายรัชทายาทนั้นมิทรงแสดงอารมณ์ใดๆออก แต่ทรงลุกขึ้นนั่งลงด้วยสีพักต์อันไร้ความรู้สึกดังเดิม...


“แล้วเช่นไรเล่าแทอิล...มาบอกข้าเช่นนี้แล้วข้าเลือกอะไรได้หรือ...”


ทั้งสุรเสียงเรียบนิ่งและดวงเนตรที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า มันทำให้ในเพลานี้แทอิลรู้สึกสงสารองค์ชายของตนเสียเหลือเกิน... แม้ในเวลาที่ผ่านมาพี่เลี้ยงแห่งองค์ชายรัชทายาทจักมิเคยเข้าใจถึงความรักในสิ่งที่อยู่บนความไม่ถูกต้องของพระองค์ แต่หากวันนี้แทอิลถึงได้รู้ว่า..ความรักนั้นไม่มีสิ่งที่เรียกว่าถูกผิด เพียงทำตามหัวใจตนเองกำหนด นั่นแหละ...ที่เรียกว่าความรัก...


“โถ่....พระองค์”


“ข้ามีเวลาเหลืออีกเพียงห้าวันใช่หรือไม่....”













หากผ่านพ้นไปกี่ราตรีก็ตาม...ไม่มีวันไหนที่ความคะนึงหาจะลดน้อยลง.. พระพักต์งามขององค์ชายรัชทายาทนั้นยังคงทำให้เด็กหนุ่มคิดถึงอยู่ทุกเวลา...


ตั้งแต่ที่กลับมาใช้ชีวิตตามวิถีชาวบ้านดังเดิมนั้น...ดงยองยามรับว่าเขาสบายใจมากกว่าการที่ต้องทนอยู่ในวังหลวงกับผู้คนที่มองตนเองเป็นตัวประหลาด...ไม่ต้องทนกับคำครหามากมาย...แต่ทำไม...ความคนึงหาที่มีต่อองค์ชายรัชทายาทผู้สูงศักดิ์มันถึงมากมายเหลือเกิน...


เมื่อยามเช้าดงยองเอาของไปขายที่ตลาดก็ได้ยินพวกชาวบ้านร่ำลือกันให้ทั่วว่าเพียงอีกไม่กี่เพลา...องค์ชายรัชทายาทก็จะต้องหมั้นและผูกดวงชะตากับองค์หญิงแห่งชิลลา...


ได้ยินมาว่าองค์หญิงแห่งชิลลานั้นงดงามยิ่งกว่าสตรีผู้ใดในแผ่นดิน..เพียงแค่ฟังก็รับรู้ว่าเหมาะสมกันเหลือเกิน...


แล้วดงยองเล่า...จากที่ไม่มีสถานะใดๆในเวลานี้ก็ทำได้เพียงอวยพรให้องค์ชายรัชทายาทผู้สูงศักดิ์ มีความสุขกับชีวิตคู่อันแสนน่ายินดี...ส่วนตนก็คงทำได้แค่ยืนมองอยู่ตรงนี้...ตามความที่สมควรจะเป็นแต่ทีแรก...


!!!


เสียงเคลื่อนไหวของเท้าคนด้านนอกบ้านหลังเล็กทำให้เด็กหนุ่มกลัว ดงยองไม่รู้ว่าในยามวิกาลเช่นนี้จะมีชาวบ้านที่ไหนออกมาเดินแบบนี้


“ดงยอง...ดงยอง ได้โปรดเปิดประตูให้ข้า..”


“องค์ชายหรือข้ารับ!!


เด็กหนุ่มยิ้มดีใจทันทียามที่ได้ยินได้ยินสุรเสียงอันคุ้นเคยแล้วมิรอช้าที่จะเปิดประตูบ้านต้อนรับพระองค์ ร่างสูงสง่าก้าวลงจากหลังอาชา ก่อนจะเดินเข้ามาหายอดดวงใจแห่งพระองค์...ดงยองโผเข้าหาอ้อมกอดแสนคุ้นเคยที่รอรับโดยทันทีด้วยความคิดถึงอย่างหาที่สุดมิได้...


“ข้าคิดถึงเจ้าดงยอง...”


“ข้าก็คิดถึงท่านองค์ชาย...แล้วเหตุใดท่านจึงออกจากตำหนักมายามวิกาลเช่นนี้...?”


องค์ชายรัชทายาทมิทรงตอบคถามเด็กหนุ่ม แต่เพียงกดนาสิกโด่งลงบนหน้าผากเนียน...


“เพราะข้ามีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องทำ...และสิ่งที่ข้าจักทำ ก็ต้องมีเจ้าร่วมด้วย”


“สิ่งใดหรือขอรับ..?”


ดงยองเอียงคอถามด้วยความสงสาร อยากจะรู้กิจสิ่งนั้นที่ทำให้องค์ชายต้องออกมาจากตำหนักในยามค่ำมืดเช่นนี้เหลือเกิน








หลังจากที่พากันเข้าบ้าน ดงยองพาองค์ชายรัชทายาทที่เพิ่งจะเดินทางมาเพหนื่อยๆให้มานั่งพักยังเตียงนอนไม้เล็กๆของตน  เดินทางมาตั้งไกลคงจะเหนื่อยมากไม่น้อย...


องค์ชายรัชทายาทหยิบของบางสิ่งออกมาจากย่ามที่พกมาด้วยนั่นทำให้ดงยองมองตามอย่างสงสัย...


“นี่คือสร้อยข้อมือสัญลักษณ์ประจำตัวข้า...ราชวงษ์โครยอทุกคนนั้นจักต้องมีสิ่งที่เป็นสร้อยข้อมมือและมีสัญลักษณ์ประตัวที่แตกต่างกันไป..หากในเวลาที่มีการจัดงามหมั้นเกิดขึ้น...ข้าจักต้องใช้สร้อยข้อมือผูกให้กับคนที่เป็นคู่หมั้น”


“แล้ว...เหตุใดท่านจึงต้องบอกข้าเล่า...”


ดงยองกล่าวพลางก้มหน้า..สิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่นั่นมันเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนระหว่างองค์ชายรัชทายาท และองค์หญิงผู้งดงามแห่งชิลลา...ฟังดูแล้วช่างเป็นเรื่องราวที่น่ายินดีปรีดายิ่ง แต่ในทางกลับกัน มันทำร้ายหัวใจดวงน้อยในอกของดงยองเสียเหลือเกิน...


“อ๊ะ! องค์ชาย!


ข้อมือเล็กข้างซ้ายถูกดึง องค์ชายรัชทายาทจัดการสวมสร้อยข้อมือประจำพระองค์ให้คนที่พระองค์รักตรงหน้าเสียแทน...นี่เท่ากับเป็นการว่า...พระองค์ได้ทรงหมั้นหมาย และผูกดวงชะตากับดงยองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว....
“ใส่ไว้...แล้วจงอย่าถอด...ตราบจนชั่วชีวิตของเจ้า..”


สุรเสียงเข้มเอ่ยสั่ง...ดงยองมองอย่างไม่เข้าใจ ว่าสิ่งที่องค์ชายรัชทายาทกำลังทำมันคือสิ่งใดกันแน่...


“ทุกอย่างที่ข้าทำลงไป...มันเพราะข้ารักเจ้า..โปรดรอหน่อยคนงาม ในอีกไม่นาน เจ้าจะต้องกลับไปอยู่ตำหนักหลวง...ในฐานะชายาของข้า..”


“พระองค์...”


“ข้ามิเคยสน ว่าผู้ใดจะมองเช่นไร... เพราะเพียงแค่การที่ชีวิตข้ามีเจ้า...มันก็ดีมากแล้ว...”


ปลายคางมนถูกเชยขึ้นมารับจุมพิตนุ่มนวลและอ่อนหวาน..จนพาลให้ทั้งหัวใจเต้นรัว...กลีบปากสีหวานถูกฉกชิมอย่างละเมียดละไม.. ร่างบอบบางก็ถูกรั้งข้ามากอด แขนเรียวโอบกอดร่างพระองค์กลับทันทีตามความเคยชินที่ผ่านมา...


ก่อนทุกสิ่งทุกอย่างจะจบลงบนเตียงนอนของเด็กหนุ่ม... เสียงร้องครวญครางและเสียงเนื้อกายที่กระทบกันดังขึ้นระงมไปทั่วบริเวณบ้านหลังเล็กแห่งนี้...กว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้นลงจริงๆก็เกือบจะรุ่งสาง...











ทั่วทั้งราชอาณาจักรโครยอล้วนรื่นเริงกับงานเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่...นั่นคืองานหมั้นและผูกดวงชะตาระหว่างองค์ชายรัชทายาทซึ่งเป็นที่รักยิ่งของประชาชน...และองค์หญิงผู้งดงามแห่งชิลลา...ทุกคนต่างแห่งพ้องต้องกันว่าผู้สูงศักดิ์ทั้งคู่ ช่างเหมาะสมและคู่ควรเสียเหลือเกิน...


ในตำหนักหลวง ณ ห้องท้องพระโรง เหล่าขุนนางเจ้านาย ต่างนั่งเรียงรายกันและทุกคคนล้วนแต่งกายดูดีสำหรับงานสำคัญงานนี้...


เสื้อผ้าเนื้อดีเมื่ออยู่บนกายแห่งองค์ชายรัชทายาททุกคนในท้องพระโรงวังหลวงล้วนมองว่าช่างสง่างาม...สมตำแหน่งกษัตริย์องค์ถัดไปแห่งโครยอเสียจริงๆ..


องค์ราชันย์และพระชายาทรงแย้มสลวลอย่างภาคภูมิใจกับเสียงชื่นชมต่อโอรสของพระองค์ที่ล้นหลาม... และการเห็นพ้องต้องกันไปในทางที่ดีงาม


ยามองค์ชายรัชทายาทขึ้นรอบนแท่นพิธีศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เรียบร้อย ทางประตูใหญ่ตำหนักหลวงก็เปิดขึ้น ปรากฏร่างดงามของหญิงสาว ในชุดเรื่องทรงงดงามหรูหรา...นางมีใบหน้างดงามและมีความเพรียบพร้อมทุกสิ่งอย่าง...แต่ก็มิอาจจะเอาชนะบุคคลที่อยู่ในดวงพระทัยขององค์ชายรัชทายาทเลยแม้แต่น้อย...ร่างดงามก้าวขึ้นมายืนเคียงข้างพระองค์


ทุกคนล้วนยินดีและชื่นชม แต่ในใจขององค์ชายไม่ได้มีความยินดีเช่นดังผู้ใดเลย







“เหตุใดเจ้าจึงยังไม่สวมสร้อยข้อมือให้นางเล่า ยุนโอ...”


องค์ราชันย์ทรงตรัสถาม หลังที่จากที่ตามพระราชพิธีเมื่อพระคู่หมั้นมายืนยังแท่นเคียงข้างแล้ว จักต้องมีการสวมสร้อยข้อมือให้ แล้วเหตุใดองค์ชายรัชทายาทถึงมิยอมทำ....


“จะไม่มีการผูกดวงชะตาหมั้นใดๆกันทั้งนั้นขอรับ...”


!!!!!!!!!!!!


เพียงสุรเสียงทุ้มกล่าวเอ่ย ทุกคนในตำหนักหลวงต่างพากันตกใจในสิ่งที่องค์ชายรัชทายาทกล่าว นั่นหมายความว่าเช่นไรกัน  องค์ราชันย์แห่งสองราชอาณาจักรต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เหล่าขุนนางและข้าหลวงต่างซุบซิบกันในสาเหตุเรื่องนี้ที่หลายๆคนต่างก็รู้กันดี...


“เพราะข้ามีผู้ที่ข้ารักอยู่แล้ว ข้าจึงได้มอบสร้อยข้อมือสัญลักษณ์แห่งข้าให้กับผู้ที่ข้ารักไป กราบขอประทานอภัยองค์ราชันย์ พระราชายาและองค์หญิงแห่งชิลลาด้วยขอรับ..”


องค์ชายรัชทายาททรงโค้งขอโทษให้บุคคลทั้งสามด้วยจากใจจริง ก่อนจะทรงเดินนำเหล่าทหารประจำพระองค์ออกจากตหนักหลวงไป...ทิ้งความขุ่นมัวให้กับบุคลที่ยังอยู่ในตำหนักหลวงที่เหลือ โดยเฉพาะยิ่งองค์หญิงผู้งดงามแห่งชิลลา ที่ในเวลานี้นางเหมือนถูกหักหน้าไปเต็มๆ..



“ท่านลุง เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เพคะ?”


นางเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจยิ่ง ที่เดินทางข้าวแคว้นเมืองมานางมิได้หวังจะได้ประสบพบเจอกับเรื่องแบบนี้....


“เยริม...ลุงขอโทษแทนรัชทายาทด้วย...”


“ขอโทษหรือเพคะ...ถ้างั้นก็แสดงว่าข่าวลือที่เลื่องลือกันไปทั่ววังหลวง เรื่ององค์ชายรัชทายาท กับเด็กหนุ่มชาวบ้านนั่น ก็เป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่?”


นางเริ่มไม่พอใจขึ้นมาบ้าง ในคราแรกที่ได้ยินเรื่องนี้ก็ไม่พอใจอยู่แล้วหากจะต้องถอนหมั้น แต่พอได้เดินทางมาที่นี่องค์ชายรัชทายาทกลับมองข้ามนางไป และเลือกที่จะปฏิเสธทุกสิ่งอย่าง ทำให้นางรู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงตัวตลก และไร้ค้าไปเสียอย่างนั้น....


“ใจเย็นเถิดลูก...”


พระชายาแห่งชิลลาเอ่ยปรามลูกสาว ในเวลานี้แม้พระนางจะไม่พอใจเรื่องขององค์ชายรัชทายาทเช่นกัน แต่หากว่าการที่ลูกของพระนางจะแสดงอากัปกิริยาแบบนั้นออกก็เห็นจะไม่สมควร


“ข้าควรจักต้องทำเช่นไรดีให้รัชทายาท เลิกยุ่งและตัดขาดจากเจ้าเด็กสามัญชนชั้นล่างนั่นอย่างเด็กขาด...”


องค์ราชันย์แห่งโครยอ เยยอมเคร่งเครียด แน่นอนว่าเรื่องนี้หากประชาชนรู้ว่างานหมั้นผูกชะตามิสำเร็จตามประสงค์ เพราะสามัญชนชาวบ้านเพียงคนเดียวคงจะไม่ดีแน่ๆ


“หากท่านถามว่ามีวิธีเด็ดขาดเช่นนั้นหรือไม่..มีอยู่นะขอรับ...”


องค์ราชันย์แห่งชิลลากล่าว สร้างความแปลกใจต่อผู้ที่เหลืออยู่ในตำหนักหลวงอย่างมาก ไม่มีผู้ใดไม่รู้...ว่าองค์ชายรัชทายาทนั้นหลงใหลและใคร่ในตัวเด็กคนนั้นมากแค่ไหน แล้วมีจะมีวิธีใดอีกเล่าที่เป็นทางออกที่เด็ดขาดที่สุด...


“โปรดวางใจให้ข้าเป็นผู้จัดการเถิดท่านเจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ และแน่นอนว่าท่านจักไม่มีทางผิดหวัง...”















ข่าวพิธีหมั้นหมายผูกดวงชะตาร่วมกันขององค์ชายรัชทายาท และองค์หญิงแห่งชิลลาเป็นที่กล่าวขานกันทั่วทุกพื้นที่...แม้กระทั่งงในหมู่บ้านเล็กๆกลางป่าแห่งนี้ก็เช่นกัน...


วันทั้งวันดงยองไม่ได้ออกนอกบ้านไปที่ใดเลย เด็กหนุ่มนอนอุดอู้อยู่บนเตียงห่มผ้านอนร้องไห้แททบทั้งวัน


ดงยองนอนมองสร้อยข้อมมือประจำพระองค์ที่เปรียบดังโซ่พันธนาการหัวใจ...น้ำตาเอ่อคลอตลอดเวลายามนึกถึงพระพักต์ขององค์ชายรัชทายาท..


การเป็นฝ่ายเฝ้ารอคอยความจริงแล้วสุดแสนทรมาณ.... แม้จะบอกตัวเองแล้วว่าถึงเช่นไรนี่ก็คือสิ่งที่ถูกต้องและสมควร แต่ดงยองก็ไม่อาจรู้เหตุผลได้ว่าเหตุใดตนจึงเอาแต่ร้องไห้...


กลางคืนอันหนาวเหน็บแสนยาวนานนั้นมิยอมผ่านพ้นไป ดงยองเพียงหวังเล็กๆว่าหากวันรุ่งขึ้นมาถึงความเจ็บปวดในหัวใจคงทุเลาลงไปบ้าง...




แต่แล้ว...


เสียงฝีเท้าม้าด้านนอกรอบหมู่บ้านที่ดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มจำต้องลุกขึ้นตื่น เสียงแตกตื่นฮือฮาของคนทั้งหมู่บ้านยิ่งสร้างความประหลาดใจแก่ดงยองเป็นอย่างมากเช่นกัน...


เสียงดังขึ้นเรื่อยๆจากไกลเป็นใกล้มากขึ้นและเสียงด้านนอกที่คล้ายๆกองทัพรวมทั้งฝีเท้าม้าก็หยุดลง...แต่หยุดลงที่หน้าบ้านหลังเล็กของเด็กหนุ่ม...


องค์ชายหรือ?จะเป็นไปได้เช่นไรในเมื่อค่ำคืนนี้...องค์ชายรัชทายาทนั้นต้องอยู่แต่ในตำหนักหลวงเท่านั้น...


“เปิดประตู!!!


เสียงตะคอกเอ่ยสั่งดังจากข้างนอกหน้าบ้านฟังดูหน้ากลัวเหลือเกิน... แน่นอนนั่นมิใช่เสียงองค์ชายรัชทายาทอย่างที่เคย...


แต่...ดงยองก็พยายามแข็งใจที่จะเปิดประตูออกไปเผชิญกับสิ่งที่ตนมิอาจรับรู้ด้านนอกบ้าน...



ภาพตรงหน้าสร้างความตกใจให้เด็กหนุ่มนัก... ทั้งทหารที่อยู่บนหลังม้าราวกองทัพยืนเรียงอยู่หน้าบ้าน แต่หากประเมินการแต่งกายแล้วมิใช่ทหารแห่งโครยอ..ไม่ใช่เลยสักนิด... ไหนจะชาวบ้านบ้านหลังอื่นๆที่ออกมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น...


“พะ..พวกท่านเป็นใคร?”



“ตัวข้านั้นนามว่าซอ ยองโฮ เป็นแม่ทัพทหารแห่งชิลลา ได้รับคำสั่งจากองค์ราชันย์ทั้งสองราชอาณาจักรให้มายังที่นี่...”


ผู้เป็นแม่ทัพสูงสุดกล่าว ก่อนจะกล่าวลงหลังม้าเดินตรงเข้ามา...ดงยองเพียงกำลังรู้สึกว่าตนมิน่าเปิดประตูออกมาเลยในเวลานี้.. เหล่าทหารหน้าตาท่าทางน่ากลัวช่างชวนทำให้หวาดหวั่น




“มีเหตุอันใดถึงต้องมาที่นี่?”




“หึ...มีแน่นอนอยู่แล้ว คำสั่งจากองค์ราชันย์แห่งโครยอและองค์ราชันย์แห่งชินลานั้น ได้บัญชาการให้ข้ามาที่นี่ ก็เพื่อ...ทำการสำเร็จโทษเจ้าเช่นไรเล่า...”


!!!!!!!


ดงยองตกใจถอยกรูดจะหนีเข้าบ้านหลังจากท่านแม่ทัพต่างเมืองได้เอ่ยความประสงค์ของการมาที่นี่...แต่ไม่ทันเสียแล้ว นายทหารร่างใหญ่ได้ทำการล็อคตัวเด็กหนุ่มเอาไว้ไม่ให้หนี



“ไม่นะ!!! ข้ามิได้ทำสิ่งใดที่ผิดนี่...”



“หากมิได้ทำ ข้าคงจักไม่ต้องมาที่นี่...การที่องค์ชายรัชทายาทแห่งโครยอนั้นมิยอมทำการเข้าพิธีหมั้นผูกดวงชะตากับองค์หญิงเยริม มันก็เพราะเจ้ามิใช่หรือ...”



เมื่อได้รับรู้ความจริงว่าองค์ชายรัชทายาทมิได้ยอมหมั้นหมายตามที่เคยเอ่ยสัญญาก่อนหน้านั้น และยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใด แม่ทัพซอ ยองโฮก็หยิบขวดบรรจุบางสิ่งเล็กขึ้นมา...


“ท่านจะทอะไรข้า..?”


“อย่าตื่นกลัวหนุ่มน้อย เจ้าจะไม่ทรมานมาก ข้าให้สัญญา..”



ของเหลวสีดำสนิทกลิ่นรุนแรงถูกกรอกลงไปในลำคอของดงยอง เด็กหนุ่มไม่สามารถดิ้นหนีได้เพราะถูกกั้นไว้ทุกทาง.. นายทัพใหญ่ได้แต่จำใจยอมทำตามหน้าที่ๆได้รับมอบหมาย เพร่งพิศใบหน้าเด็กหนุ่มคนงามที่เขาเลื่องลือกันทั่วก็ไม่นึกแปลกใจที่องค์ชายรัชทายาทแห่งโครยอจะรักเจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้มากมายถึงขนาดยอมขัดประเพณีเลยทีเดียว...


“อึก...”


ทั่วร่างของดงยางนั้นชาไปหมดเพียงชั่วครู่และไม่สามารถทรงตัวขึ้นได้...เพียงทหารที่ล็อคตัวไว้ปล่อยแขนออก ร่างบอบบางก็ล้มลงนอนบนพื้นทันที แม้จะยังมีลมหายใจอยู่ แต่เด็กหนุ่มก็รับรู้ว่าเพียงไม่นานนี้มันคงหมดไป...


“โปรดอโหสิให้ข้าด้วย...ข้าจำต้องทำเพราะหน้าที่ ในวันรุ่งขึ้น ความทรมานบนโลกของเจ้าจะหมดลงแล้วเจ้าหนุ่มน้อย.. ไป!กลับ!


แม่ทัพยองโฮเอ่ยกับเจ้าหนุ่มน้อยที่บัดนี้กำลังพบพานกับความทรมาน ก่อนจะเอ่ยสั่งทหารที่เหลือให้กลับ แต่หากก่อนกลับได้เอ่ยสั่งเหล่าชาวบ้านว่าจงอย่าได้มีผู้ใดเข้าไปช่วย มิเช่นนั้นก็จะโดนไม่ต่างจากดงยองในตอนนี้... ทุกคนต่างหวาดกลัวและไม่มีใครกล้าเลยสักคน แน่นอนว่าภาพเมื่อครู่ทำให้เหล่าชาวบ้านพากันกลัวไปหมด...













“เจ้าว่าเช่นไรนะแทอิล!!!


องค์ชายรัชทายาทกระชากคอเสื้อพี่เลี้ยงหนุ่มขึ้นมาทันทีที่ได้ยินสิ่งที่แทอิลกล่าว


“ข้าผิดไปแล้วที่บอกพระองค์ช้าเกินไป...”


“เจ้านี่มัน!!!



องค์ชายรัชทายาททรงกริ้วอีกคราหลังจากได้ยินสิ่งที่แทอิลเอ่ย เรื่องที่ว่าเหล่าทหารแห่งชิลลานั้นเดินทางไปยังหมู่บ้านกลางป่าในปกครองของโครยอ...


พระองค์ไม่สนใจสิ่งใด รีบเดินออกจากตำหนักขึ้นทรงอาชาตัวโปรด แล้วออกไปทันที แทอิลเห็นเช่นนั้นจึงรีบสั่งให้ทหารที่เหลือรีบตามเสด็จไป











องค์ชายรัชทายาทเร่งฝีเท้าม้าอย่างไร้สติ พระองค์เป็นห่วงคนรักเสียจริง เพราะไม่อาจรู้ได้ว่าพวกชิลลาจะมาหาดงยองเพราะเหตุใด ยิ่งได้มารับรู้ในเวลาเกือบฟ้าจะสางเช่นนี้ยิ่งเป็นห่วง ระหว่างทรงม้าเข้าป่าไปยังหมู่บ้านแห่งนั้น ดวงอาทิตย์ก็กำลังขึ้นสู่ขอบฟ้าเช่นกัน


แทอิลและทหารรักษาการต่างพากันขี่ม้าตามหลังพระองค์มาแต่พระองค์ก็หาได้สนใจไม่... สิ่งที่พระองค์กังวนที่สุดนั่นคือเรื่องของคนรักมากกว่า


ได้โปรดเถิด...ขอจงอย่าให้ดวงใจของพระองค์นั้นเป็นอะไรเลย...







“แค่กๆ”


เด็กหนุ่มหอบหายใจไอสำลักออกมาเป็นเลือดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนร่างกายและฝ่ามือเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดเต็มไปหมด...เด็กหนุ่มนอนหายใจรวยริน นอนคิดถึงพระพักต์ของคนที่ตนรักที่สุด...


หากก่อนตายก็อยากจะได้เห็นเป็นคราสุดท้ายของชีวิตนี้ก็ยังดี...


หากสวรรค์ยังเห็นใจ...ดงยองก็อยากที่จะได้พบหน้าองค์ชายรัชทายาทอีกสักครา...


“อึ่ก...!


จู่ๆก็รู้สึกจุกในหน้าอกอีกครา ดงยองนั้นรู้สึกเหมือนกับจะตายเสียให้ได้ แต่ก็ยังคงทนทุกข์กับความทรมานอยู่อีกเช่นนั้น..


“แค่กๆ”


“ดงยอง!!!!


องค์ชายรัชทายาทที่เพิ่งจะเดินทางมาถึงกระโดดลงจากหลังอาชายอย่างรวดเร็วก่อนจะสาวเท้าวิ่งไปหายังร่างของคนรักที่นอนบนพื้น....


“ดงยอง...ผู้ใดทำกับเจ้าเช่นนี้บอกข้ามา...”


พระองค์ตระกองกอดร่างของเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยเลือดมากมาย  ดงยองมองใบหน้าองค์ชายด้วยความรักและคิดถึง....


มือเรียวอยากจะเอื้อมไปสัมผัสพระพักต์งาม  แต่ก็มิอยากทำเช่นนั้นเพราะมือของดงยองตอนนี้เปื้อนไปด้วยเลือดมากมาย...


“องค์ชาย...ท่านมาหาข้า..มาหาข้าแล้ว ...”


เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา น้ำตาเอ่อล้นขนหลั่งไหล เรี่ยวแรงที่ในคราแรกไม่มีอยู่แล้วในตอนนี้เริ่มจะหมดลง


“ดงยอง...เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไร...ข้าจะพาเจ้ากลับไปยังตำหนักด้วยกัน เพื่อให้หมอหลวงในวังรักษาเจ้า..ได้โปรดอดทนอีกสักนิด”


องค์ชายเอ่ยบอกพลางสัมผัสใบหน้างดงามแผ่วเบา คราบเลือดที่ขอบปากทำให้พระองค์พารับรู้ว่าเหตุมันมาจากสิ่งใด....


ยาพิษที่ได้จากพิษงูเห่าแห่งชิลลา.....


“ข้าไม่ไหวแล้วขอรับ...ถึงเช่นไรข้าก็ต้องตาย...”


“ดงยอง...ไม่...ได้โปรด เจ้าต้องอยู่เคียงข้างข้าสิ...”


ดงยองจ้องมองพระพักต์งามขององค์รัชทายาท ในขณะที่ดวงตาพร่าเลือนลงเรื่อยๆ การหายใจนั้นติดขัดแสนลำบากยากเย็นราวกับว่ามันกำลังจะหมดลง..


“ตลอดเวลาที่ผ่านมา...ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน....”


“ข้ารู้ดีว่าในเวลานี้ท่าน..อึ่ก...ท่านไม่สมควรมา...”


“แต่ข้าก็ยังรอ...”





ฝ่ามือเรียวที่แตะลงบนพักต์งามค่อยๆหล่นลงสู่พื้นทรณี พร้อมดวงตากลมที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาค่อยปิดลง รวมทั้งลมหายใจอันรวยรินที่หมดสิ้นไป


“ดงยอง!!! ไม่!!!!!!!
















ช่อดอกไม้งามค่อยๆวางลงบนเนินดิน รอบๆกลางผืนป่ามีเหล่าทหารมากมายแห่งตำหนักองค์ชายรัชทายาทที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำ..


“องค์ชายขอรับ...เสด็จกลับตำหนักได้แล้วนะขอรับ...ดูท่าทางเหมือนว่าฝนกำลังจะตก...”

“อย่าเพิ่งสิแทอิล...ข้ายังไม่หายคิดถึงดงยองเลย...”


เป็นเวลากว่าหนึ่งอาทิตย์หลังจากฝังศพดงยอง ที่องค์ชายรัชทายาทนั้นเทียวไปเทียวมา ดวงพักต์หม่นหมองนัยน์เนตรเศร้าโศกเพราะถูกพรากดวงใจออกจากอกอย่างมิมีวันนำกลับคืนมาได้...

“เจ้าอยู่สบายดีหรือไม่...เจ้าจะคิดถึงข้า...เช่นที่ข้าคิดถึงเจ้าหรือเปล่า...”


ฝ่าพระหัตถ์ลูบตรงเนินดินด้วยความถวิลหา...น้ำพระเนตรไหลลงเหมือนในทุกครา แทอิลมิอาจทนมองได้ เพราะเห็นแล้วเขาก็นึกอยากจะร้องไห้ตาม ในดวงพระทัยขององค์ชายรัชทายาทตอนนี้ถูกทำร้ายไปเสียหมดแล้ว... ดวงพระทัยที่เจ็บปวดทรมานน่าสงสารอย่างยิ่ง...











“ออกไปได้แล้วแทอิลข้าอยากที่จะอยู่คนเดียว...”


“ขอรับองค์ชาย”


หลังทรงเสด็จกลับมายังตำหนักก็เกือบจะมืดค่ำ... พระองค์อาจจะทรงเหนื่อย แทอิลมิได้ขัดในคำสั่งและยอมออกไปจากห้องบรรทมแต่โดยดี...


ยามนี้...จะต้องอยู่อย่างเดียวดายโดยไร้ซึ่งดวงใจ แค่คิดก็ทำไม่ได้แล้ว...เพราะเหตุใดทำไมถึงต้องเช่นนี้ด้วย... การที่คนเราจะรักกันมันผิดตรงไหน ตำแหน่งฐานะ ยศถาบรรดาศักดิ์บ้าๆนี่ไม่สมควรมีต้องแต่แรก... มิเช่นนั้นพระองค์ก็คงมิต้องทรงพรากจากกับดงยอง...



เมื่อคิดได้ดังนนั้นองค์ชายรัชทายาทจึงหยิบดาบคู่กายของพระองค์เองมานั่งมองบนเตียงบรรทม


เล่มดาบถูกดึงออกจากฝั่งอย่างเชื่องช้าและใจเย็น แขนอาภรณ์เนื้อดี ถูกพับจนอยู่บริเวณข้อศอก...และตามด้วยแรงกรีดของคมมีดบริเวณเส้นโลหิตใหญ่ของแขนข้างขวาเป็นแนวดิ่งลง....



เพียงไม่นานโลกหิตสีเข้มก็หลั่งไหลลงสู้พื้นอย่างรวดเร็ว และเริ่มไหลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ...จนมองดูแล้วหน้ากลัว...

“หากชาติหน้ามีจริง...ขอให้ข้าพึงระลึกถึงเรื่องราวของชาตินี้ได้ ... และ...ขอให้ข้าได้ครองคู่กับคนรักโดยไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางได้ ตลอดไป....”









-2017-


“โถ่....น่าสงสารองค์ชายกับดงยองจังเลย...ว่ามะโดยอง”


เตนล์ นักศึกษาปี1คณะโบราณคดีชาวไทยเอ่ยขึ้นกับเพื่อนข้างๆ เมื่อได้รับฟังจุดจบเรื่องราวอันแสนโศกเศร้า  พร้อมเพื่อนๆปี1คนอื่นๆที่แสดงความเห็นด้วยเป็นเนืองนิตย์...


ณ คณะโบราณคดีของมหาวิทยาลัยที่มีการตั้งชมรม เรื่องราวของประวัติศาสตร์ชาติเอาไว้ โดยรุ่นพี่คณะปี3 และชมรมนี้เป็นชมรมใหม่ที่มีประธานชมรมเป็น จอง แจฮยอน นักศึกษาปี3 พ่วงตำแหน่งเดือนคณะ ทำให้มีนักศึกษามากมายหลั่งใหลเข้ามาสมัครชมรมนี้...


และกิจกรรมของชมรมนี้จะเป็นการเล่าแลกเปลี่ยนเรื่องราวของในประวัติศาสตร์ทั้งข้อเท็จจริง และเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่ไม่ค่อยมีใครรู้

“รุ่นพี่คะ แล้วหลังองค์ชายรัชทายาทสิ้นพระชมน์เกิดอะไรขึ้นคะ”


นักศึกษาสาวคนหนึ่งเอ่ยถาม และแน่นอนว่ารุ่นน้องในคณะคนอื่นๆก็อย่างรู้ด้วยเช่นกัน...

“นั่นก็เป็นเรื่องที่สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับชาวโครยอในสมัยนั้นครับ โดยเฉพาะองค์ราชันย์และพระชายา เนื่องด้วยเหตุนี้ จึงต้องรออีกหลายปี เพื่อให้องค์ชายสองนั้นเติบโตและขึ้นครองราชย์แทนองค์ชายรัชทายาทครับ”


“แล้วก็เป็นที่มาที่ว่าให้ยกเลิกการคลุมถุงชนในสมัยนั้นด้วยใช่มั้ยครับ”


เตนล์ยกมือถาม ในขณะที่เพื่อนหน้ากระต่ายที่นั่งข้างๆกลับเอาแต่นั่งนิ่งไม่หือไม่อืออะไรตั้งแต่ที่รุ่นพี่คนหล่อเล่าเรื่องนี้...


“ใช่แล้วครับ...”


“โหย...ทำไมไม่ยกเลิกตั้งแต่ก่อนหน้านั้นวะเนี่ย จะต้องให้มีคนตายก่อนถึงจะยอมยกเลิกหรือไง”


เวนดี้ ที่นั่งอยู่ข้างๆเตนล์กล่าวขึ้นซึ่งเตนล์เองก็หันหน้าคุยแสดงความเห็นด้วยอย่างจริงจังกันอยู่สองคน...


“อ่อ!รุ่นพี่คะ แล้วอย่างนี้องค์ชายรัชทายาทเขาจะจำคนรักแล้วก็เรื่องราวในอดีตชาติของตัวเองได้อย่างที่ขอไว้ก่อนตายหรือเปล่าคะ”


น้องนักศึกษาผ้หญิงปี1อีกคนที่นั่งหน้าเอ่ยถามขึ้น แจฮยอนทำเพียงยกยิ้มก่อนจะมองไปทางๆหนึ่งแล้วเอ่ยออกมา... ซึ่งโดยองที่นั่งอยู่นิ่งๆตั้งแต่เข้าชมรม ก็ถึงกลับเลิ่กลั่ก เมื่อกำลังสบตาเข้ากับรุ่นพี่หนุ่ม



“ไม่รู้สิครับ...แต่ว่า..อาจจะจำได้ก็ได้นะ...”









END